ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ประเทศไทยก็มีข่าวใหญ่ให้ได้ติดตามกันอย่างเมามัน เรื่องทัวร์ญี่ปุ่นแบบสุดคุ้ม ชนิดที่จ่ายเงินแค่นิดเดียวก็สามารถไปเที่ยวได้อย่างโก้หรู แต่สุดท้ายก็สวรรค์ล่ม หลายท่านต้องฝันค้างเพราะหลงเชื่อธุรกิจลูกโซ่ ก็เป็นเรื่องน่าเศร้านะครับ แต่ก็ทำให้ได้รู้ว่าอะไรที่มันฟังดูดีเกินไป ก็มักจะมาพร้อมกับความเสี่ยงแบบนี้ ส่วนผมก็รู้สึกโล่งใจ เพราะผมเดินทางไปญี่ปุ่นก่อนวันดีเดย์ที่เขาแห่ไปสนามบินแค่หนึ่งวันเท่านั้น
พูดถึงเรื่องการต้มตุ๋นแล้ว ก็อยากจะเล่าเรื่องต้มตุ๋นของญี่ปุ่นบ้าง เพราะญี่ปุ่นเองเขาก็มีปัญหาแบบนี้ไม่ใช่น้อยครับ รูปแบบการต้มตุ๋นที่พบได้มากในญี่ปุ่นก็เป็นปัญหาที่เกิดจากสังคมสูงวัย แน่นอนว่าที่ญี่ปุ่นเองก็มีคดีต้มตุ๋นใหญ่ๆ เช่นกัน แต่ผมมองว่าคดีที่ทำให้เกิดผู้เสียหายมากที่สุดก็คือคดีต้มตุ๋นที่เล็งเป้าหมายที่คนชรา แล้วยังพบได้มากอีกด้วย
วิธีการต้มตุ๋นที่ว่าก็คือ ‘โอะเระ โอะเระ ซะกิ’
โอะเระ โอะเระ ซะกิ ‘การต้มตุ๋นสวมรอยเป็นลูกชาย’
‘โอะเระ โอะเระ ซะกิ’ หรือ オレオレ詐欺 (Ore Ore Sagi) คือวิธีการต้มตุ๋นที่ง่ายเอามากๆ เพราะใช้วิธีโทรเข้าโทรศัพท์บ้านไปหาคนชราที่อยู่คนเดียว แล้วพอปลายทางรับสาย ก็พูดว่า “โอะเระ โอะเระดะ” หรือแปลง่ายๆ ว่า “นี่ผมนะ ผมเองไง” ซึ่งคนแก่ที่ไม่ทันคน แถมหูไม่ดี ก็อาจจะคิดว่าเป็นลูกชายตัวเอง แล้วตอบกลับว่า “อ้าว ยาสุชิเองเหรอลูก” นักต้มตุ๋นได้ยินคำตอบแบบนี้ ก็ยิ้มทันทีครับ เพราะว่าปลางับเหยื่อแล้ว ทำให้เป็นที่มาของชื่อ โอะเระ โอะเระ ซะกิ นี่ล่ะครับ ‘ซะกิ’ แปลว่า ‘การต้มตุ๋น’ จะแปลตามภาษาญี่ปุ่น ว่า ‘การต้มตุ๋นผมเองผมเองนะ’ ก็ฟังแปลกๆ อยู่ เรียกว่า ‘การต้มตุ๋นสวมรอยเป็นลูกชาย’ ก็อาจจะเหมาะกว่า จริงๆ ที่ญี่ปุ่นเขาก็มีอีกชื่อเรียกว่า 振り込め詐欺 (Furi Kome Sagi) หรือ ‘การต้มตุ๋นให้โอนเงิน’ ครับ ซึ่งในภายหลังกลายมาเป็นชื่อทางการไป เพราะครอบคลุมวิธีการต้มตุ๋นหลายรูปแบบมากกว่า
พอสวมรอยเป็นลูกชายสำเร็จแล้ว นักต้มตุ๋นก็จะเริ่มจากเล่าให้ ‘พ่อแม่’ ฟังว่า ตอนนี้ลำบากมาก เพราะขับรถชนรถคนอื่น แล้วดันดื่มตอนขับด้วย ทำให้มีโอกาสโดนเล่นงานตามกฎหมายอย่างหนัก ได้ฟังแบบนี้คนเป็นแม่ (หรือพ่อ) คนไหนก็หนักใจล่ะครับ โอ๊ย ลูกตัวเองจะต้องติดคุกรึเปล่า
พอปล่อยหมัดหนักแล้ว ก็ตามด้วยคำหวานที่ทำให้โล่งใจ นักต้มตุ๋นจะบอกว่า ตำรวจที่มาดูคดีนี้ที่เกิดเหตุ จะช่วยไกล่เกลี่ยกับคู่กรณีให้ที่จุดเกิดเหตุเลย จะได้ไม่ต้องติดคุกหรือขึ้นโรงขึ้นศาลให้ลำบาก ซึ่งพี่ตำรวจก็ไปตกลงเรื่องค่าเสียหายที่คู่กรณีรับได้แล้ว เป็นเงิน 8 ล้านเยน (สมมุตินะครับ ของจริงอาจจะเยอะกว่านี้อีก) ซึ่งต้องโอนเข้าบัญชีคู่กรณีด่วนเลย ตอนนี้ผมเองก็ลำบาก แม่ช่วยไปโอนให้หน่อยได้มั้ย?
หลังจากใจแป้วไปทีนึง พอได้ยินว่าเงินช่วยกู้สถานการณ์ได้ แม่หรือพ่อที่รักลูกก็พร้อมที่จะพุ่งออกจากบ้านไปโอนเงินช่วยล่ะครับ ไม่ว่าจะเงินบำนาญ เบี้ยเลี้ยงชีพ หรือเงินสะสมที่มีมาก็มีค่าไม่เท่าลูกหรอก ดังนั้นก็เตรียมพุ่งไปธนาคารทันที ไปโอนเงินตามที่ลูกชายบอก โอนเสร็จก็โทรไปบอกลูกชายว่า โอนเรียบร้อยแล้วนะ เป็นไงบ้างล่ะลูก ซึ่งลูกชายตัวจริงก็อาจจะเกิดอาการงง ก่อนจะซาโตริได้ว่า แม่กูโดนต้มแล้วววว
ที่น่าเศร้าก็คือ ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ก็เพราะสังคมญี่ปุ่นมีคนชราที่อาศัยอยู่ตัวคนเดียวมากขึ้น นานๆ จะได้คุยกับลูกตัวเองที เสียงก็จำได้ลำบากขึ้นล่ะครับ
ทำให้คนร้ายสามารถเนียนหลอกต้มตุ๋นเงินได้ง่ายเหลือเกิน เหยื่อจากกรณีแบบนี้ก็มากขึ้นเรื่อยๆ จนเคยมีผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือออกโฆษณาส่งเสริมให้โทรหาพ่อแม่ตัวเองให้มากขึ้น คอยเช็กว่าเป็นอย่างไรบ้าง ก็พอช่วยลดปัญหาได้ หรือทุกวันนี้ผมก็เจอรายการทีวีที่ให้ความรู้คนสูงอายุไว้จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อ ส่วนธนาคารเองก็ติดป้ายเตือนไว้ที่หน้าตู้เอทีเอ็มบ้าง หรือหากเป็นการโอนที่หน้าเคาน์เตอร์ ทางธนาคารก็จะอบรมให้พนักงานคอยสังเกตดูว่าผู้สูงอายุที่มาโอนเงินมีท่าทางแปลกๆ ลุกลี้ลุกลนรึเปล่า ถ้าหากมีก็พยายามเตือนสติ ให้เช็กให้ละเอียดก่อนที่จะโอนจริงๆ ก็ค่อยทุเลาปัญหาได้บ้าง แต่ทุกวันนี้ก็ยังมีเหยื่อเกิดขึ้นในสังคมอยู่เรื่อยๆ ครับ
‘ยามาเบะ เซ็ตสึโกะ’ นักต้มตุ๋นสายเปย์
ขอเสริมท้ายด้วยข่าวต้มตุ๋นของญี่ปุ่นที่มาแรงแซงโค้งตอนนี้ แถมเกี่ยวกับไทยด้วยครับ เรื่องของเรื่องคือ ยามาเบะ เซ็ตสึโกะ หญิงชาวญี่ปุ่น ได้หลอกลวงชาวญี่ปุ่นด้วยกันมาร่วมลงทุน โดยจะให้ผลตอบแทนสูง ซึ่งก็ตามสูตร พอรวบรวมเงินได้แล้วก็หายตัวสิครับ รวมยอดเงินผู้เสียหายทุกรายรวมกันได้ประมาณ 700 ล้านเยนเลยทีเดียว พอมีข้อมูลว่าเธอหลบหนีไปต่างประเทศ ก็ทำให้มีหมายจับโดยตำรวจสากล ซึ่งสุดท้ายแล้วเธอก็โดนจับจนได้ ทายสิครับ ว่าที่ประเทศไหน
แหม่ ประเทศที่เธอหนีมาหลบก็คือ ไทยแลนด์ ของเรานี่เองครับ
ที่เธอเลือกหนีมาที่นี่ ก็คงเพราะชินกับการมาเมืองไทย เข้าออกมาแล้วสิบกว่าครั้ง มีข้อมูลว่าเธอเข้ามาในไทยตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม แล้วเมื่อวันที่ 30 มีนาคม ก็มีคนเห็นเธออยู่ที่ปั๊มน้ำมันในจังหวัดอุบลราชธานี นำไปสู่การขอความร่วมมือตำรวจไทยจับกุมตัวเธอ ซึ่งในที่สุดก็จับตัวได้และส่งกลับญี่ปุ่นไปพร้อมกับตำรวจเมื่อวันที่ 18 เมษายนที่ผ่านมานี่เองครับ คดีนี้กลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ของชาวญี่ปุ่นไป
ไม่ใช่เพราะยอดเงินหรือเรื่องราวการหลบหนีนะครับ แต่เป็นเรื่องรูปโฉมของเธอต่างหาก
เมื่อสื่อแพร่ภาพรูปตอนที่เธอโดนจับกุมตัวและนำตัวส่งกลับประเทศ ในภาพเธอสวมกระโปรงสั้น เสื้อโชว์ไหล่เซ็กซี่ มัดผม แต่งหน้าสวย และเธออายุ 62 ปีแล้วครับ… (ทำไมเวลาสื่อญี่ปุ่นรายงานข่าวจะชอบวงเล็บอายุของคนในข่าวไว้หลังชื่อก็ไม่รู้นะครับ)
พอชาวญี่ปุ่นเห็นผู้หญิงรุ่นย่าแต่งตัวแบบสาววัยรุ่นออกทีวี ก็อึ้งแล้ว แถมยังเป็นการออกทีวีในฐานะผู้ต้องหาอีกด้วย ก็เล่นเอาอินเทอร์เน็ตเต็มไปด้วยคอมเมนต์ต่างๆ นาๆ และเรื่องยิ่งไปกันใหญ่ เมื่อข่าวรายงานต่อว่า จริงๆ แล้ว คุณยามาเบะมีแฟนหนุ่มชาวไทยอยู่ที่เมืองไทยนี่ล่ะ แถมไปสัมภาษณ์แฟนหนุ่มไทยอีกด้วย โวะ ซึ่งผมก็ได้ฟังเสียงสัมภาษณ์นะ แต่ไม่เห็นหน้า พ่อหนุ่มไทยก็บอกว่า ไม่รู้มาก่อนเลยว่าเขาอายุ 62 เพราะบอกว่าตัวเองอายุ 38 ปีเอง แหะๆ
พอเจองั้น ชาวเน็ตญี่ปุ่นก็ยิ่งรุมคอมเมนต์กันอย่างเมามัน เรียกได้ว่า ผมเสิร์ชหาชื่อเธอเพื่อหารายละเอียดของข่าวกับคดี กลับหาได้น้อยกว่าโพสต์ที่สับเธอเรื่องการแต่งตัวและการกินเด็กนี่ล่ะครับ ถึงขนาดมีสื่อที่ไปขอคอมเมนต์จากหมอคลินิกศัลยกรรมชื่อดังเลยทีเดียว เรียกว่าไปกันใหญ่เหลือเกิน และคงจะเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ไปอีกซักระยะ เพราะมั่นใจว่า ต้องมีคนรอชมหน้าสดของเธอเมื่อตอนถูกส่งตัวไปขึ้นศาลที่ญี่ปุ่นแน่ๆ
ฟังแล้วก็ปวดหัวนะครับ ไม่ว่าชาติไหนก็มีคนพยายามหลอกต้มตุ๋นคนเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองอยู่เสมอ ไม่ว่าจะไปไหนก็เสี่ยงได้ทั้งนั้น ท่านผู้อ่านเองก็ระวังตัวด้วยแล้วกันนะครับ เฮ่อ