[บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของซีรีส์]
จะเป็นอย่างไร หากผู้หญิงคนหนึ่งพบว่าตัวเองกลายเป็นซอมบี้ที่ชอบกินเนื้อคน?
นี่เป็นคำถามที่อยู่ในใจกลางของซีรีส์ Santa Clarita Diet บน Netflix, มันเป็นคำถามที่อาจทำให้เรานึกตอบด้วยภาพยนตร์ซอมบี้สยองขวัญหรือลุ้นระทึก แต่ Santa Clarita Diet เลือกที่จะตอบคำถามนี้ด้วยซีรีส์ตลก, ที่พยายามเสนอภาพครอบครัวแสนปกติ ครอบครัวที่พึ่งพาอาศัย มีอัธยาศัยไมตรีและประนีประนอมกันมากเท่าที่สถานการณ์จะเอื้ออำนวย – เมื่อพิจารณาว่า สถานการณ์นั้นคือ “การที่คุณแม่กลายเป็นซอมบี้” แล้ว ก็พบว่าการเลือกตอบในลักษณะนี้น่าประทับใจทีเดียว
Santa Clarita Diet (เริ่มฉายซีซั่นสองวันที่ 23 มีนาคม, วันนี้ บน Netflix) เริ่มต้นซีซั่นแรกด้วยการพาเราไปรู้จักกับชีล่า (ดรูว แบร์รี่มอร์) และโจเอล (ทิโมธี่ โอลิแฟนต์) คู่สามีภรรยาในเมืองซานตา คลาริต้า ที่กลายมาเป็นชื่อเรื่อง เขาและเธอมีลูกสาวน่ารักและฉลาดที่กำลังเดินเข้าสู่วัยขบฏ พวกเขาเป็นนายหน้าค้าบ้านที่กิจวัตรประจำวันไม่มีอะไรพิเศษ จนกระทั่ง, จนกระทั่งชีล่าตาย กลายเป็นซอมบี้ (อันที่จริง พวกเขาชอบให้เรียกชีล่าว่า Undead มากกว่า Zombie เพราะ ‘ถือเป็นการให้เกียรติ’ [1]) และเริ่มโหยหาเนื้อคนเป็นอาหารนั่นแหละ ที่เหวี่ยงให้ความปกติธรรมดาของครอบครัวนี้พร่องไปทีละน้อย
จากโจทย์, ดูเหมือนว่ามันจะเป็นซีรีส์ที่สามารถพังพินาศได้ในหลายรูปแบบทีเดียว แต่ด้วยความที่ Santa Clarita Diet พยายามรักษาอารมณ์ของเรื่องให้สดใส ไม่ซีเรียส ตัวละครทุกตัวพูดจาอย่างอัพบีทและร่าเริงบวกกับสถานการณ์เหนือจริง ทำให้เราไม่อาจถือสาความเหลวไหลของ Santa Clarita Diet ได้ อันที่จริง มันเป็นซีรีส์ที่ ถ้าคุณชอบ, คุณก็จะดูมันได้อย่างเพลินๆ แต่ถ้าคุณไม่ชอบ คุณก็จะเกลียดมันตั้งแต่ตอนแรกทีเดียว ตัวอย่างเช่น: เพื่อนบางคนรวมถึงน้องสาวของผมไม่อาจก้าวข้ามความอี๋แหวะ [gore] ของบรรดาอวัยวะมนุษย์ที่ชีล่ากินสดๆ ได้ จนไม่อาจดูให้จบกระทั่งตอนแรก ซึ่งนักแสดงของซีรีส์ ทิโมธี่ โอลิแฟนต์ ก็เข้าใจ เขาให้สัมภาษณ์ว่า “ผมย้อนกลับไปดูซีซั่นแรกสสองหรือสามตอน แล้วก็พบว่ามันค่อนข้างจะหยาบๆ ผมเอง ก็ไม่มั่นใจ [ในซีรีส์นี้] นักหรอก จนกระทั่งเราถ่ายตอนที่สี่นั่นแหละ” ในขณะที่เขาพูดถึงซีซั่นสองว่า “ไหลลื่นตั้งแต่ตอนแรกทีเดียว” [2]
เสียงวิจารณ์ Santa Clarita Diet แบ่งเป็นสองฝ่ายเช่นนี้อย่างชัดเจน ฝ่ายที่ไม่ชอบ จะบอกว่ามันเป็นซีรีส์ที่ตั้งอยู่บนมุกตลกมุกเดียวนั่นคือการกินมนุษย์ พวกเขาวิจารณ์ว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่ Santa Clarita Diet รู้สึกว่าตัวเองเพลี่ยงพล่้ำ มันก็จะย้อนกลับไปหามุกอวัยวะมนุษย์เสมอๆ (ซึ่งอาจจะเป็นการเล่นคำ การที่ชีล่าทำอะไรแปลกๆ เช่น ขย้อนผมมนุษย์ออกมา หรือการที่อวัยวะมนุษย์ปรากฏบนหน้าจอให้เกิดผลลัพธ์ขบขัน) ส่วนคนที่ชอบ ก็เห็นว่า Santa Clarita Diet รักษาสมดุลระหว่างความเหนือจริง ความอี๋แหวะ ความสดใส และความตลกได้ดี
ดรูว แบร์รี่มอร์ให้สัมภาษณ์กับ Vanity Fair ว่า “นี่ไม่ใช่ซีรีส์สยองขวัญ มันเป็นซีรีส์เกี่ยวกับครอบครัวที่พยายามทำให้ชีวิตประจำวันดำเนินไปได้ด้วยความโอเค ฉันชอบดูซีรีส์พวกนี้ เพราะเราอยู่ในยุคที่สังคมของเราทำให้คนจำนวนมากประสบปัญหา ซีรีส์นี้จึงมอบความหวังให้กับพวกเราได้บ้าง” [3] เช่นเดียวกับวิกเตอร์ เฟรสโก้ ผู้สร้างซีรีส์ที่บอกว่า Santa Clarita Diet เป็นการพยายามหานิยามใหม่ของซอมบี้ พร้อมๆ กับการเสนอภาพครอบครัวที่ผู้ชมอยากเชียร์ (ถึงแม้ว่านี่จะเป็นครอบครัวที่กินคนก็ตาม, แต่ Santa Clarita Diet ก็พยายามหลบกระสุนศีลธรรมด้วยการให้ชีล่าเลือกกินเฉพาะ ‘คนเลว’ หรือ ‘คนน่ารังเกียจ’ เท่านั้น)
ถึงจะเป็นซีรีส์ตลก แต่ก็มีความพยายามค้นหา ‘ความหมายทางการเมือง’ ของ Santa Clarita Diet อยู่พอสมควร บทวิจารณ์ใน LA Review of Books บอกว่ามันเป็นซีรีส์เกี่ยวกับโดนัลด์ ทรัมป์ (!) และเป็นซีรีส์ที่เสนอภาพฟาสซิสม์อเมริกันถึงแม้มันจะไม่รู้ตัวก็ตาม [4] เขาวิจารณ์ว่า “การที่ีซีรีส์นี้ขาดความทะเยอทะยานที่กว้างกว่าเพียงแค่การที่ตัวละครแต่ละตัวพยายามใช้ชีวิตของตนเองให้ดีที่สุด นั้นแสดงให้เห็นถึงข้อจำกัดของมุมมองต่อโลกของพวกเขา ดูเหมือนว่าวิกฤติของการกลายเป็นซอมบี้นั้นจะไม่ส่งผลต่อความเป็นอยู่ หรืออาริยธรรมของมนุษย์เลยในซีรีส์นี้ มันส่งผลกระทบส่วนตัวเท่านั้น” ในทางกลับกันบทวิจารณ์ของ The Verge กลับชูให้ Santa Clarita Diet เป็นซีรีส์ “ขบวนการทางการเมืองที่อเมริกาต้องการ” โดยอ้างว่าซอมบี้ในซีรีส์นี้เป็นเหมือนคนชายขอบที่ไม่ได้ต้องการอะไรไปมากกว่าความรักและการดูแลเหมือนกับคนอื่นๆ และบอกว่าในซีซั่นสอง Santa Clarita Diet “ไม่กลัวที่จะเลือกข้าง” เพราะในซีซั่นนี้ ตัวละครบางตัวกลายเป็นนักกิจกรรมสิ่งแวดล้อม และตัวละครบางตัวก็ต้องจัดการสถานการณ์ที่ไม่น่าพึงประสงค์ เช่นเจ้านายผู้เหยียดเพศ [5]
อย่างที่ได้กล่าวมาแล้ว, Santa Clarita Diet ยังเป็นซีรีส์ที่เล่นกับเส้นศีลธรรมที่ไม่ควรล่วงเข้าไปอย่างการทำให้การกินมนุษย์ (cannibalism) หรือการฆาตกรรมเป็นเรื่องยอมรับได้ ตัวละครหลักอย่างชีล่าและโจเอลไม่เคยรู้สึกผิดต่อการฆ่านานนัก พวกเขารู้สึกว่ามัน ‘ยุ่งยาก’ เสียมากกว่าที่จะต้องมาจัดการทำความสะอาดซากที่หลงเหลืออยู่ การเล่นกับข้อห้ามทางสังคมโดยไม่พยายามตอบคำถามตรงใจกลาง (ผิดหรือไม่ที่ฆ่ามนุษย์, ถึงแม้เขาจะ ‘สมควรตาย’) เช่นนี้ เป็นบททดสอบคนสร้างซีรีส์พอๆ กับคนดู ระหว่างดูเราก็อาจถามตัวเองไปได้ด้วยว่า ทำไมเราจึงรู้สึก ‘โอเค’ กับตัวละครหลักอยู่ (เพราะพวกเขาน่ารัก, กูฟฟี่, เพราะเขามีครอบครัวแสนดี, เพราะเหยื่อสมควรตายแล้ว หรือเพราะอะไร)
การตั้งคำถามกับ ‘การฆ่า’ เป็นแนวโน้มที่ซีรีส์ในระยะหลังพยายามสื่อออกมาในรูปแบบต่างๆ กันเช่นกัน เช่น The End of the F***ing World (Netflix) ซีรีส์ที่สำรวจความสัมพันธ์ของวัยรุ่นชายโรคจิตที่พยายามฆ่าเพื่อนผู้หญิงของเขาแต่กลับพบความสัมพันธ์ในรูปแบบอื่น หรือ Barry (HBO) ซีรีส์ตลก ของบิล เฮเดอร์ ที่พูดถึงนักฆ่าที่กลายมาเป็นนักแสดงละครเวที
คำถามทางการเมือง และคำถามทางศีลธรรมเหล่านี้อาจวกวนอยู่ในใจคุณบ้างตอนที่ดู Santa Clarita Diet, แต่เชื่อเถอะว่า มันจะไม่วกวนอยู่นานนักหรอก – ก็พวกเขาน่ารักออกขนาดนี้!
คุณสามารถดู Santa Clarita Diet ซีซั่นหนึ่งและสองรวมถึง The End of the F***ing World ได้บน Netflix แล้ววันนี้, Barry จะฉายทาง HBO ในวันที่ 25 มีนาคม
อ้างอิง / ที่มา
[4] https://lareviewofbooks.org/article/santa-clarita-diet-season-1/#!