สัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้ใช้เน็ตบ้านเราหลายคนคงได้ผ่านตาเพจที่เป็นเจ้าของโครงการซูเปอร์โซลเยอร์ เทรนเด็กตั้งแต่เล็กแต่น้อยเพื่ออนาคตจะได้เป็นหมอ ซึ่งหลายต่อหลายคนอ่านแล้วก็รู้สึกหงุดหงิดเพราะรู้สึกว่าโดนหยามเหยียดแนวทางการใช้ชีวิตที่ผ่านมา โดยเฉพาะเรื่องการเล่นเกมแล้วจะเอาดีไม่ได้ กลายเป็นประเด็นเดือดในวงการโซเชียลเน็ตเวิร์ก
ตัวผมเองก็เป็นเด็กที่โตมากับการเล่นเกมนะครับ โดยเฉพาะเกม Adventure ค่าย Lucas Arts ที่ช่วยให้ผมได้พัฒนาภาษาอังกฤษแบบไม่รู้ตัวเอามากๆ แต่เพราะไม่ได้จบแพทย์มา สำหรับสายตาเจ้าของเพจก็คงเป็นคนล้มเหลวในชีวิตมั้งครับ เอาจริงๆ แล้ว ผมก็มองว่าถ้ามีความสุข ได้ทำในสิ่งที่ชอบโดยไม่ลำบากใครก็น่าจะเพียงพอแล้ว หลายครั้งคนที่หลงใหลกับอะไรที่ดูเหมือนไร้สาระก็สามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้เช่นกัน ใช่ครับ ผมหมายถึงชาวโอตาคุ ที่หลงใหลกับอะไรบางอย่างแล้วสามารถประสบความสำเร็จกับสิ่งสิ่งนั้นได้อย่างงดงาม ซึ่งคราวนี้ก็ขอยกมาซักสองคนแล้วกันครับ
คนแรกคือ ทาคาชิ มุราคามิ โอตาคุที่หลงใหลในอนิเมะและมังงะ และเอาจริงเอาจังขนาดที่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยศิลปะโตเกียว สาขาภาพญี่ปุ่น ซึ่งเขาก็เอาดีขนาดที่ได้ระดับด็อกเตอร์เลยทีเดียว เป้าหมายตั้งต้นของเขาก็คือต้องการเรียนรู้ทักษะในการวาดภาพเพื่อที่จะได้เข้าไปทำงานอนิเมะนั่นเอง แต่เรียนไปเรียนมาเขากลับเริ่มสนใจการทำงานศิลปะและวิพากษ์วิจารณ์สังคมบริโภคนิยมของญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ต่อมาเขาก็ได้ไปแลกเปลี่ยนที่อเมริกา และรับอิทธิพลงานของ Jeff Koons มาอีกที ทำให้เขาผลิตคาแรกเตอร์ประจำตัว Mr. DOB ตัวละครหัวโตตากลมแป๋วออกมา และเขายังคิดว่าถ้าจะหาพื้นที่ของตัวเองในวงการศิลปะญี่ปุ่น ก็ต้องทำงานให้ประสบความสำเร็จในต่างประเทศก่อนแล้วค่อยกลับไปขายในตลาดญี่ปุ่น เป็นแผนการ Reverse Import ที่น่าสนใจเลยทีเดียว
หลังจากนั้นเขาก็เอาวัฒนธรรมโอตาคุ มังงะ อนิเมะ และรสนิยมรักเด็กสาว มาขับเน้นในงานของเขาอย่างไม่ยั้ง
งานที่ทำให้เขาเป็นที่โจษจันก็คือ My Lonesome Cowboy และ Hiropon งานนูนสูงที่ดูเหมือนฟิกเกอร์ของเล่น แต่เป็นรูปของเด็กหนุ่มที่ยืนเปลือยเปล่า กำอวัยวะกลางตัวของเขาที่ชูชันและปล่อยของเหลวสีขาวออกมา พุ่งขึ้นไปวนเป็นวงอยู่เหนือหัวเขา และรูปเด็กสาวที่แม้จะใส่บิกินี่ แต่เธอก็ทรงโตเกินกว่าที่มันจะประคองไว้ไหว และจากปลายถันของเธอก็มีของเหลวสีขาวพุ่งออกมาเชื่อมต่อกันราวกับเป็นเชือกกระโดดวนอยู่บนหัวเธอ ซึ่งต่อมา My Lonesome Cowboy ก็จะถูกประมูลไปที่โซเธอบี้ส์ ในราคา 13.5 ล้านเหรียญเลยทีเดียว
การเอาความป๊อปสไตล์มังงะญี่ปุ่นมาขับเน้นอย่างเต็มที่เพื่อสร้างงานศิลปะ ทำให้เขากลายเป็นรู้จักและได้รับการยอมรับอย่างมากในเวลาต่อมา และกลายเป็นศิลปินที่เชิดหน้าชูตาประเทศญี่ปุ่น ร่วมก่อตั้งกระแส Superflat กระแสงานศิลปะญี่ปุ่นยุคโพสต์โมเดิร์น ซึ่งวิพากษ์สังคมบริโภคและวัฒนธรรมโอตาคุ ผ่านการทำงานแบบป๊อปจ๋า เอางานมังงะและอนิเมะมาเป็นเครื่องมือในการล้อเลียนได้อย่างงดงาม ผลก็คือ เขาก็กลายเป็นศิลปินที่ทรงอิทธิพลในญี่ปุ่นจนหลายคนมองว่าเขาคือ Andy Warhol ของญี่ปุ่นยุคใหม่เลยทีเดียว และเขาก็ได้ไปร่วมงานกันแบรนด์ดังอย่าง Louis Vuitton ออกแบบลายโมโนแกรม รวมถึงไปออกแบบปกอัลบั้มชุดที่ 3 ของ Kanye West อีกด้วย
ที่สำคัญคือแม้จะโด่งดังได้ดิบได้ดีไปไกลเขาก็ไม่ได้ทำตัวไฮ ปล่อยแต่ของแพง เพราะงานของเขา ไปโผล่ในทุกที่ครับ ทั้งงานออกแบบสิ่งพิมพ์ โปสเตอร์ ไปจนกระทั่งกล่องลูกอมที่เอาลายตากลมโตพร้อมขนตายาวโดดเด่นของเขาไปประดับ จะเรียกว่าเป็นศิลปินญี่ปุ่นยุคใหม่ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดคนหนึ่งก็ว่าได้ครับ
เขียนเชียร์มาแบบนี้ เดี๋ยวก็จะมีคนบอกว่า เอาความโอตาคุมาทำงานศิลปะ มันก็ต้องขายได้สิ ก็คุขายคุเท่านั้น
โธ่ งั้นไปเจอคนที่สองเลยดีกว่าครับ คนนี้ก็เป็นโอตาคุ แต่เอาดีด้านวิชาการได้อย่างยอดเยี่ยมเลย
ถ้าใครเคยเป็นแฟนรายการทีวีแชมเปี้ยนสมัยที่ True ยังเป็น UBC อยู่เลย (พูดแล้วรู้สึกแก่) ก็คงจำเจ้า ลูกปลาน้อย แชมป์เรื่องปลา ที่คว้าแชมป์เป็นครั้งแรกเมื่อรายการจัดแข่งขันหาแชมป์เรื่องปลาเป็นครั้งที่สาม ตอนที่เขาเรียนชั้น ม.6 และหลังจากนั้นก็คว้าแชมป์รวม 5 ครั้งติดต่อกันเลยทีเดียว ด้วยความคลั่งไคล้ที่มีต่อปลา ไม่ว่าอะไรก็ตอบได้เกือบหมด (ครั้งนึงให้กินปลาแล้วทายว่าเนื้อปลาอะไรด้วย ไม่ใช่แค่ชอบดู ต้องชอบกินด้วย) และคาแรกเตอร์ที่เป็นเด็กน้อยไฮเปอร์ เสียงสูงปรี้ด เรียกเสียงฮาและความเอ็นดูจากคนดูได้เสมอ ทำให้กลายเป็นหนึ่งในแชมเปี้ยนในความทรงจำของแฟนรายการเลยทีเดียว
ลูกปลาน้อย หรือ ซาคานะคุง มีชื่อจริงว่า มิยาซาวะ มาซายุกิ เป็นเด็กน้อยที่มีความรักในสัตว์น้ำมาตั้งแต่เด็ก เมื่อตอนเรียน ม.3 เขาสามารถเพาะพันธุ์แมงดาทะเล ที่เป็นสัตว์เลี้ยงประจำชั้นได้ ซึ่งมันก็ออกลูกมาถึง 19 ตัว ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ในวงการสมุทรศาสตร์ เพราะไม่ค่อยมีใครทำสำเร็จได้ แต่จริงๆ แล้วก็เป็นเรื่องบังเอิญ เพราะเขาเห็นว่าในตู้เลี้ยงมันเล็ก น่าสงสาร เลยปล่อยแมงดาทะเลลงเล่นน้ำอยู่เรื่อยๆ ซึ่งเจ้าแมงดาทะเลก็นึกว่าการออกจากตู้มาสู่แหล่งน้ำธรรมชาติซ้ำไปมา ก็คือน้ำขึ้นน้ำลงตามธรรมชาติ ก็เลยวางไข่ แต่ก็กลายเป็นความสำเร็จของเขาตั้งแต่ยังเล็ก และด้วยความหลงใหลในสัตว์น้ำ เขาก็อยากจะเข้าเรียนด้านสมุทรศาสตร์ที่ Tokyo University of Marine Science and Technology แต่สอบไม่ผ่าน (แม้จะเป็นแชมป์เรื่องปลา) เขาก็เลยตัดใจ ไปเรียนโรงเรียนวิชาชีพด้านการดูแลสัตว์แทน แต่กลายเป็นว่า แผนกสัตว์น้ำก็ยุบไปอีก ดูเหมือนดวงจะไม่ส่ง แต่เมื่อคนมันรักแล้ว จะถอนตัวก็คงยากครับ
หลังจากเรียนจบและมีตำแหน่งแชมป์พ่วงด้วยแล้ว เขาก็ทำงานพิเศษที่เกี่ยวกับปลาหลายต่อหลายงาน และได้ไปทำงานร้านซูชิ ซึ่งก็รับหน้าที่วาดรูปปลาตกแต่งร้านด้วย พอมีคนมาเห็นแวว ก็ชวนให้เขาไปวาดรูปปลา ไปๆ มาๆ ผลงานของเขาก็เข้าตาคนมากขึ้นเรื่อยๆ จนได้มาทำอาชีพนักวาดภาพปลาทางวิทยาศาสตร์อย่างเป็นทางการ หลังจากทำงานวาดภาพปลาและโปรโมทเรื่องปลาตามอีเวนต์ต่างๆ ในฐานะแชมป์รายการ ปี 2006 เขาก็ได้โอกาสเป็นอาจารย์ชั่วคราวในมหาวิทยาลัยที่เขาเคยสอบเข้าไม่ได้ ทำให้ฝันที่เขาเขียนในเรียงความเมื่อตอนประถมเป็นจริงเสียที
แต่จุดพีคของชีวิตเขา คงเป็นปี 2010 ตอนที่ไปช่วยงานที่มหาวิทยาลัยเกียวโต ซึ่งเขาก็ทำหน้าที่วาดภาพประกอบเช่นเคย เขาสังเกตว่ามีปลาที่ดูเหมือนปลา Black Kokanee หรือ คุนิมะสุ ในภาษาญี่ปุ่น ซึ่งเป็นสายพันธุ์หนึ่งของแซลมอนน้ำจืด ที่เชื่อกันว่าสูญพันธุ์ไปแล้วเมื่อปี 1940 เมื่อทะเลสาปทาซาวะ ถิ่นที่อยู่ของมันในจังหวะอาคิตะเสื่อมสภาพเพราะกรดจากอุตสาหกรรม แม้จะมีความพยายามเอาเอาไข่ของมันจำนวนแสนฟองไปปล่อยที่ทะเลสาบไซโคะที่ยามานาชิ แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ประสบความสำเร็จ และถูกตัดสินว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว แต่เมื่อซาคาะคุงสังเกตว่า ปลาจากทะเลสาบไซโคะที่นำมาวาดภาพ ดูเหมือนกับคุนิมะสุ ทำให้เหล่านักวิจัยเริ่มต้นพิสูจน์หาความจริง และพบว่าคุนิมะสุยังมีชีวิตอยู่และแพร่พันธุ์ในทะเลสาปไซโคะตามที่หวังไว้เมื่อ 70 กว่าปีที่แล้ว
การค้นพบครั้งนี้กลายเป็นข่าวใหญ่ในญี่ปุ่น ทำให้ชื่อของซาคานะคุงกลับมาปรากฎในทุกสื่ออีกครั้ง และถึงขนาดที่สมเด็จพระจักรพรรดิทรงชมซาคานะคุงเป็นการส่วนตัวเลย เพราะตัวท่านเองก็ทรงสนพระทัยในเรื่องสมุทรศาสตร์ด้วย และทำให้ต่อมาเขาได้รางวัลจากทางรัฐบาล และได้รับตำแหน่ง Honorable Doctor (ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์) ในมหาวิทยาลัยที่เขาสอบเข้าไม่ได้ และทุกวันนี้ก็ยังสนุกกับการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับปลาให้ผู้คนทั่วไป
เรียกได้ว่า รักปลาจนได้ดีจริงๆ ครับ
คนเราขอให้มีความชอบในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แล้วรู้จักเอาพลังงานตรงนั้นมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ก็สามารถประสบความสำเร็จในสายที่ตัวเองสนใจได้นะครับ เรียกได้ว่า มี Passion แล้วก็ช่วยได้เยอะ
อันนี้ก็ไม่ใช่ว่าผมแก้ต่างให้โอตาคุนะครับ เพราะก็ต้องยอมรับว่ามีหลายคนที่แค่ชอบเฉยๆ แต่ไม่พยายามใช้ความชอบนั้นให้เป็นประโยชน์ แต่ก็อย่างที่เห็นว่า ถ้าใช้ให้ถูกทาง ก็ไปได้ไกลครับ เพราะชีวิตไม่ได้มีแค่ทางเลือกทางเดียว การรู้ว่าตัวเองชอบอะไรและได้ทำในสิ่งที่ชอบก็สามารถพาไปสู่ความสำเร็จในเส้นทางที่ตัวเองขีดเองได้เช่นกัน