เมื่อพูดถึงเอาท์เล็ตที่อยู่ใกล้กับสนามบิน ชื่อของเซ็นทรัล วิลเลจ คงเด้งขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆ ที่แห่งนี้ไม่ใช่แค่เอาท์เล็ตใกล้สนามบินเท่านั้น แต่มันคือ ‘ลักชูรี่ เอาท์เล็ต’ ที่นำสินค้าแบรนด์เนมมาลดราคาทุกวัน 35-70 เปอร์เซ็นต์ แบบไม่ต้องรอเทศกาลเซล แห่งแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เซ็นทรัล วิลเลจได้เปิดบริการเมื่อปลายเดือนสิงหาคม 2562 แม้จะเป็นเวลาไม่นานนัก แต่ระยะเวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ก็ได้สะท้อนถึงความสำเร็จในเบื้องต้นให้เราได้เห็นกันแล้ว เพราะในเฟสแรกของการเปิดบริการตัวเลขของผู้ที่เข้าไปจับจ่ายใช้สอยก็เป็นไปตามเป้าที่ทาง CPN ได้วางไว้ นอกจากนี้เหล่าแบรนด์ลักชูรี่สาขาแรกของไทย ไม่ว่าจะเป็น Coach, Outlet by Club 21, Ermenegildo Zegna, Kate Spade New York, Kenzo, Polo, Ralph Laure, Salvatore Ferragamo ต่างก็ได้เปิดตัวอย่างน่าตื่นตาตื่นใจกันไปแล้วจนครบครัน
ความสำเร็จที่รวดเร็วของเซ็นทรัล วิลเลจ เป็นที่น่าประทับใจต่อสายตาของนักลงทุนมากมาย และล่าสุดบริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท เอเชีย องค์กรด้านอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น ได้บินมาไทยเพื่อเซ็นสัญญาร่วมถือหุ้นในโครงการนี้ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ จึงเป็นที่น่าสนใจว่าเบื้องลึกเบื้องหลังของ ‘ดีล’ นี้ มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ซึ่งเราอยากชวนผู้อ่านติดตามต่อในบทความชิ้นนี้
‘Two Nations, One Success’ ความสำเร็จร่วมกันของสององค์กรระดับชาติไทย-ญี่ปุ่น
จะน่าตื่นเต้นแค่ไหน ถ้ายักษ์ใหญ่ด้านการทำเอาท์เล็ตจากสองประเทศมาร่วมมือกันพัฒนาลักชูรี่เอาท์เล็ตแห่งแรกในประเทศไทย?
หากใครที่เคยมีความสนใจหรือได้สัมผัสแวดวงของอสังหาริมทรัพย์มาบ้าง คงมีโอกาสได้ยินชื่อของ ‘มิตซูบิชิ เอสเตท’ สักครั้งอย่างแน่นอน เพราะบริษัทนี้คือผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จากประเทศญี่ปุ่น เจ้าของเอาท์เล็ตหลายๆ สาขาในดินแดนอาทิตย์อุทัย เช่น Gotemba Rinku และ Shisui รวมถึงมีการร่วมพัฒนาอสังหาฯ ในต่างประเทศด้วย เช่น ในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร สิงคโปร์ และล่าสุดที่ประเทศไทย
สำหรับการร่วมมือพัฒนาอสังหาฯ กับบริษัทในประเทศไทยนั้น มิตซูบิชิ เอสเตท ได้ส่งบริษัทลูกที่ดูแลพื้นที่ในภูมิภาคเอเชียอย่าง ‘มิตซูบิชิ เอสเตท เอเชีย’ เข้ามาร่วมถือหุ้นถึง 30 เปอร์เซ็นต์กับบริษัทยักษ์ใหญ่อสังหาฯ ในไทยอย่างบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN ในโครงการที่คนไทยน่าจะเคยได้ยินผ่านหูมาแล้วอย่างแน่นอน นั่นก็คือโครงการ ‘เซ็นทรัล วิลเลจ’ ลักชูรี่เอาท์เล็ตแห่งแรกของไทย
การจับมือของญี่ปุ่นและไทยในครั้งนี้ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจสำหรับแวดวงเอาท์เล็ต เพราะทั้ง มิตซูบิชิ เอสเตท เอเชีย และ CPN ต่างก็มีความประสบการณ์ในการพัฒนาพื้นที่และทำอสังหาฯ มาอย่างยาวนาน โดยมีจุดเด่นมากมายที่จะช่วยส่งเสริมกันเพื่อผลักดันโครงการนี้ให้ก้าวสู่ระดับโลกภายใต้คอนเซปต์ ‘Two Nations, One Success’ ได้
CPN เปิดรับ Partner เพื่อช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับองค์กร
ในฐานะที่เป็นคนไทย เราต่างรู้จักความยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งของเครือเซ็นทรัลมาอย่างยาวนาน แต่บริษัทที่แข็งแกร่งทุกบริษัทในโลก ก็มักจะคอยเสริมความแกร่งนั้นอยู่เสมอๆ เพื่อที่จะก้าวนำคู่แข่งอยู่ตลอดเวลา
“สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ และสิ่งที่ดีที่สุด เพื่อตอบรับกับความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในยุคปัจจุบัน” คือวิสัยทัศน์ของคุณปรีชา เอกคุณากูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) การดึง มิตซูบิชิ เอสเตท เอเชีย เข้ามาร่วมลงหุ้นนับว่าเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยเสริมความแกร่งให้กับ CPN ซึ่งคุณปรีชาก็ได้เล่าถึงจุดแข็ง 3 ประการที่จะทำให้ CPN แกร่งขึ้นจากการร่วมมือกับองค์กรยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นในครั้งนี้
จุดแข็งข้อแรก คือความสามารถในการดึงดูดแบรนด์ชั้นนำระดับโลกและแบรนด์จากประเทศญี่ปุ่นที่เป็นที่นิยม ให้เข้ามาเติมเต็มความสมบูรณ์และหลากหลายแก่เซ็นทรัล วิลเลจ ขณะเดียวกันก็เป็นการเปิดโอกาสให้กับแบรนด์จากประเทศไทยได้ไปเติบโตที่ประเทศญี่ปุ่นด้วย นับว่าเป็นประโยชน์ด้านการค้าระหว่างประเทศที่ทั้งสองยักษ์ใหญ่จะช่วยส่งเสริมกันได้เป็นอย่างดี
จุดแข็งในข้อที่สองก็คือ CPN จะสามารถดึงเอาความรู้และบทเรียนที่มิตซูบิชิ เอสเตท เอเชียได้มีประสบการณ์ มาปรับใช้กับกลยุทธ์การบริหารงานในองค์กร ไปจนถึงการออกแบบงานบริการที่ดีเยี่ยมให้กับลูกค้าของเซ็นทรัล วิลเลจ เช่น การดึงเอาเอกลักษณ์งานบริการชั้นยอดของคนญี่ปุ่นมาร่วมกับอัธยาศัยอันดีงามของไทย ผ่านคอนเซปต์ ‘World-class Outlet with Thai-Japanese Hospitality’’ ที่จะช่วยสร้างอัตลักษณ์ให้กับลักชูรี่เอาท์เล็ตแห่งนี้ ให้มีดีกรีทัดเทียมระดับโลก
จุดแข็งข้อสุดท้ายที่ CPN จะได้รับจากการจับมือกับมิตซูบิชิ เอสเตท เอเชีย ก็คือ พวกเขาจะสามารถดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวและชาวญี่ปุ่นที่อาศัยในไทยให้มามีประสบการณ์ในพื้นที่เอาท์เล็ตแห่งนี้ได้ เพราะมิตซูบิชิ เอสเตท เอเชียมีความเชี่ยวชาญในตลาดภูมิภาคเอเชียเป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังสามารถสานต่อแคมเปญจากกลุ่มลูกค้า เช่น การโปรโมทการท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศไทย-ญี่ปุ่น หรือ การจัดไทยแลนด์-เจแปน เอ็กซ์โป ได้ด้วย
3 เหตุผลที่ดึงดูดให้มิตซูบิชิ เอสเตท เอเชียเข้ามาร่วมลงทุน
ในฝั่งของมิตซูบิชิ เอสเตท เอเชีย นั้นการร่วมทุนในธุรกิจเอาท์เล็ตครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกของบริษัทพวกเขา ซึ่งสาเหตุที่เขาตัดสินใจเข้าร่วมลงทุนกับ CPN นั้น เป็นเพราะเขาได้เล็งเห็นจุดแข็งในตัว CPN ที่มีอยู่แล้ว รวมถึงจุดแข็งของประเทศไทยด้วย โดยคุณยูทาโร โยซุซูก กรรมการผู้จัดการ ของมิตซูบิชิ เอสเตท เอเชีย ก็ได้เล่าถึงเหตุผล 3 ข้อที่ทำให้มิตซูบิชิ เอสเตท เอเชีย เดินทัพเข้ามาจับมือกับ CPN
ข้อแรกคือ ‘ประเทศไทยเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว’ ความสวยงามของทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรม ประเพณีของประเทศไทยนั้นโดดเด่นจนสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากต่างชาติได้อย่างไม่ขาดสาย ตัวเลขการท่องเที่ยวของไทยเติบโตขึ้นทุกๆ ปี ซึ่งศักยภาพในด้านนี้ของเรายังสามารถที่จะพัฒนาขึ้นได้อีกมาก
ข้อที่สองคือ ‘CPN คือผู้นำด้านอสังหาฯ ของไทย’ ในข้อนี้เราคนไทยคงเข้าใจกันดีอยู่แล้วว่า CPN หรือเครือเซ็นทรัลนั้นมีอิทธิพลต่อชีวิตคนไทยมากน้อยแค่ไหน ความสำเร็จในจุดนี้ทำให้มิตซูบิชิ เอสเตท เอเชีย มั่นใจว่าการเข้ามาร่วมทุนครั้งนี้เป็นโอกาสที่ดีในการเปิดตลาดใหม่ๆ อย่างตลาดลักชูรี่เอาท์เล็ต
ข้อที่สามคือ ‘ความสำเร็จของเซ็นทรัล วิลเลจ’ ทำเลที่ตั้งของเซ็นทรัล วิลเลจ คือทำเลทองสำหรับการตั้งเอาท์เล็ต เพราะตัวโครงการมีระยะทางไม่ไกลจากสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นสนามบินที่มีปริมาณไหลเวียนของนักท่องเที่ยวมากที่สุดในภูมิภาค ทำให้เซ็นทรัล วิลเลจ เต็มไปด้วยศักยภาพในการเติบโตและมีชื่อเสียงอยู่ในแวดวงเอาท์เล็ตระดับโลก
เซ็นทรัล วิลเลจ ลักชูรี่เอาท์เล็ตที่เปี่ยมด้วยศักยภาพในการเติบโต
ทั้งจุดแข็งที่ CPN มองเห็นใน มิตซูบิชิ เอสเตท เอเชีย และศักยภาพในการเติบโตที่มิตซูบิชิ เอสเตท เอเชีย มองเห็นใน CPN สองยักษ์ใหญ่ในวงการอสังหาฯ นี้จึงได้จับมือร่วมกันปลุกปั้นเซ็นทรัล วิลเลจ ให้กลายเป็นลักชูรี่ เอาท์เล็ตเบอร์หนึ่งแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่คนทั่วโลกอยากเดินทางมาสัมผัส
ความพิเศษของลักชูรี่เอาท์เล็ตแห่งนี้คือการรวมเอาสองวัฒนธรรมไทยญี่ปุ่นมาดีไซน์รูปแบบงานบริการ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับกลุ่มลูกค้า นอกจากนี้ด้วยความที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเอาท์เล็ต สินค้าแต่ละชิ้นที่จัดจำหน่ายในเซ็นทรัล วิลเลจนี้ จะถูกจำหน่ายในราคาพิเศษ ซึ่งถูกลงจากราคาปกติถึง 35-70 เปอร์เซ็นต์ตลอดทั้งปีอีกด้วย
จุดเริ่มต้นในการจับมือของสององค์กรระดับชาตินี้จึงเป็นก้าวย่างที่สำคัญ ในการเดินไปสู่จุดหมายที่เซ็นทรัล วิลเลจได้ตั้งไว้ นั่นก็คือ ‘Two Nations, One Success’