“ทุกวิกฤตมีโอกาสเสมอ” เป็นคำที่เราได้ยินบ่อยๆ ซึ่งช่วงวิกฤตโควิด-19 นี่แหละ เป็นตัวพิสูจน์ชั้นดีว่ามันเป็นความจริง
อย่างสถานการณ์ของโควิด-19 ที่ทำให้เจ้าของกิจการหลายคนถึงกับไปต่อไม่ถูก แต่ในสายตาของชายที่ติดอันดับ #ForbesUnder30 อย่าง มาร์ค แมคโดเวลล์ (Mark McDowell) กลับมองว่า นี่คือช่องทางการสร้างโอกาสใหม่ๆ ของการทำตลาดออนไลน์ต่างหาก!
เพราะหนึ่งในการปรับตัวที่สำคัญคือการเปลี่ยนแปลงธุรกิจโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นหัวใจหลักในการดำเนินงานอย่าง Digital Transformation เมื่อทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคต่างหันมาใช้ช่องทางออนไลน์กันหมดแล้ว การปรับตัวสู่ดิจิทัลจึงเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ ฉะนั้นยิ่งทำเร็วเท่าไหร่ ยิ่งดีต่อธุรกิจของคุณ
The MATTER ชวนมองการตลาดดิจิทัลในช่วงวิกฤตโรคระบาด ไปพร้อมกับชายที่ติดอันดับ #ForbesUnder30 มาร์ค แมคโดเวลล์ แห่ง Primal Digital Marketing Agency
มาร์ค แมคโดเวลล์ คือผู้ที่ติดอันดับ #ForbesUnder30 หมวดสื่อ การตลาด และโฆษณา ประจำปี 2020 ในฐานะ Managing Director แห่ง Primal Digital Marketing Agency ดิจิทัลเอเจนซี่การตลาดแบบครบวงจรของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมีสำนักงานอยู่ประเทศไทย เวียดนาม และมาเลเซีย
เขาเป็นผู้นำของทีมงานจากประเทศต่างๆ กว่า 100 คน ซึ่งเชี่ยวชาญด้านเทคนิคและการสร้างสรรค์ผ่านข้อมูล เพื่อสร้างแคมเปญที่เต็มไปด้วยกลยุทธ์หลากหลาย และสร้างคอนเทนต์ที่แตกต่างไม่ซ้ำใคร มีลูกค้าเบอร์ใหญ่ในมือ ทั้งธุรกิจอาหารระดับโลก, เครือโรงแรมขนาดใหญ่, สถาบันการเงิน, ธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพ, แบรนด์สกินแคร์ชั้นนำ รวมถึงธุรกิจเครือใหญ่อื่นๆ อีกมากมาย
Primal จึงมุ่งมั่นในการให้บริการด้านการตลาดออนไลน์ที่ทันสมัย โดยเฉพาะสถานการณ์ของโควิด-19 ที่ทำให้เจ้าของกิจการหลายคนถึงกับไปต่อไม่ถูก เพราะสถานการณ์ครั้งนี้เป็นเรื่องใหม่สำหรับทุกๆ ธุรกิจ
แต่ในสายตาของ มาร์ค แมคโดเวลล์ เขามองว่า นี่คือช่องทางการสร้างโอกาสใหม่ๆ ของการทำตลาดออนไลน์ ด้วยการแนะนำให้ใช้จ่ายเพื่อการตลาดสูงขึ้น ก่อนที่หลายๆ ธุรกิจจะกลับมาฟื้นตัว
“ผมสังเกตว่า Facebook CPMs หรือ Cost-Per-Mile ลดลงถึง 75% และเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา Google Ads ก็ถูกลง 50% เช่นกัน แต่ในทางกลับกัน ผู้บริโภคหรือคนส่วนใหญ่มีการใช้จ่ายน้อยลง แต่พวกเขายังต้องการคอนเทนต์ เห็นได้จากการมีส่วนร่วมทางสังคมออนไลน์ หรือ Social Engagement ที่เพิ่มขึ้นถึง 60% ส่งผลให้ความต้องการเข้าถึงคอนเทนต์เพิ่มขึ้นถึง 5 เท่าในช่วงเวลาที่ผ่านมา นั่นแปลว่าตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะในการเพิ่มลูกค้าด้วยการผลิตคอนเทนต์ ยิ่งทำมากและมีประสิทธิภาพเท่าไหร่ยิ่งดี”
โอกาสที่ว่าคือการทำการตลาดดิจิทัล Digital Marketing อย่างรอบคอบ ด้วยการใช้ข้อมูลเชิงลึกและการวิเคราะห์อย่างเป็นขั้นตอน เพราะเมื่อวิกฤตเกิดขึ้น ทุกอย่างล็อกดาวน์กันหมดแล้ว เหลือเพียงช่องทางเดียวที่ทุกคนเข้าถึงได้ก็คือช่องทางดิจิทัลบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต การทำการตลาดจึงต้องปรับตัวตามความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปแล้ว
Primal เองก็มีการปรับเปลี่ยนมุมมองและวางกลยุทธ์ใหม่ในช่วงโควิด-19 เกิดเป็น เทคนิค FASTR ที่จะช่วยให้ทุกธุรกิจวางแผนการบริหารจัดการและสื่อโฆษณาในช่วงวิกฤตนี้ ซึ่งเป็นบทเรียนที่ทุกธุรกิจสามารถหยิบไปประยุกต์ได้ ประกอบไปด้วย
F = First Understand
การทำความเข้าใจว่าลูกค้าพูดถึงสถานการณ์นี้ไปทิศทางไหนได้บ้าง ได้รับผลกระทบอย่างไร เพื่อประเมินเบื้องต้นว่าเราต้องวางกลยุทธ์ไปทิศทางใดในการทำให้มูลค่าเพิ่มขึ้น ซึ่งมูลค่าดังกล่าวไม่ใช่แค่ยอดขายเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงการทำให้คนรู้จักแบรนด์ (Brand Awareness) หรือมีส่วนร่วม (Engagement) กับคอนเทนต์นั้นๆ มากขึ้น
A = Adapt
ปรับคอนเทนต์รวมถึงวิธีการสื่อสารในช่องทางต่างๆ ด้วยการอิงพฤติกรรมผู้บริโภคช่วง COVID-19 ไม่ว่าจะเป็นวิธีการหรือช่องทางที่ลูกค้าใช้รับชมสื่อต่างๆ ช่วงเวลาการแสดงคอนเทนต์ที่เหมาะสม แล้วนำมาประยุกต์หรือปรับคอนเทนต์ให้เข้ากับสถานการณ์ดังกล่าว
S = Sensitive
ระมัดระวังการใช้ถ้อยคำ โดยคำนึงถึงความรู้สึกอันอ่อนไหวของลูกค้าเป็นอันดับแรก โดยจะต้องแสดงออกถึงความจริงใจและเข้าใจในสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น เพื่อสร้างภาพจำที่ดีให้กับแบรนด์ของคุณ
T = Transparent
ต้องรู้เท่าทันสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และสื่อสารการตลาดช่วง COVID-19 อย่างชัดเจน โปร่งใส ตรวจสอบได้ และรายละเอียดครอบถ้วน ไม่สร้างความคลุมเครือใดๆ ให้กับลูกค้า
R = Rise Above
ถามตัวเองว่า “ธุรกิจของคุณจะสามารถช่วยเหลือวิกฤตนี้ได้อย่างไรบ้าง” หาเครื่องมืออำนวยความสะดวกให้กับทีมงาน รวมถึงช่องทางการติดต่อต่างๆ สำหรับลูกค้าให้เพรียบพร้อม เพื่อให้ธุรกิจของคุณผ่านสถานการณ์ครั้งนี้อย่างปลอดภัย
แน่นอนว่า Primal เองก็ได้ใช้เทคนิค FASTR ในการบริหารจัดการบริษัทตัวเองช่วงโควิด-19 เช่นกัน ด้วยการวางแผนการสื่อสารการตลาดอย่างรัดกุมตั้งแต่เริ่มรับรู้ข่าวเรื่องการระบาดของเชื้อไวรัส ทำให้พนักงานทุกคนได้รับการดูแลจนทำงานกันได้อย่างปกติ
ที่สำคัญคือการรักษาบรรยากาศการทำงานให้สนุกสนานอยู่เสมอ เปิดโอกาสให้ทีมงานได้เรียนรู้ผ่านเทรนนิ่งและโค้ชชิ่งใหม่ๆ รวมไปถึงการจัดองค์กรแบบราบ (flat organization) เพื่อลดลำดับชั้นในการบริหาร ทำให้ทำงานกันได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งในฐานะผู้บริหาร คุณมาร์คมองว่าผู้นำที่ดีจะช่วยสนับสนุนทีมบริหาร และทีมบริหารก็จะช่วยซัพพอร์ตเพื่อนร่วมงานหรือผู้ใต้บังคับบัญชาต่อๆ กันไป “ผมเชื่อว่าสิ่งที่จะช่วยให้คุณเป็นหัวหน้าที่ดีได้คือการนั่งอยู่เพื่อพร้อมจะซัพพอร์ตทุกๆ คนที่อยู่ในทีมของพวกเขา ไม่ใช่การบริหารจากบนลงล่าง แต่เป็นการดูแลแบบล่างขึ้นบน”
ผลลัพธ์ที่ตามมาคือศักยภาพในการทำงานที่ยังมีคุณภาพ ทำให้ Primal สามารถให้บริการที่ดีที่สุดกับลูกค้าเหมือนเดิมแม้ในยามวิกฤต ไม่ว่าจะเป็นการบริการทำ SEO สำหรับทุกเว็บไซต์ในกรุงเทพฯ, การบริการทำโฆษณาบน Google Ads เพื่อเปลี่ยนโฆษณาให้กลายเป็นผลตอบแทนแบบยั่งยืน และการทำโฆษณาผ่าน Social Media Marketing ทุกรูปแบบ ทั้งการสร้างแบรนด์บน Facebook, โชว์ภาพลักษณ์แบรนด์ผ่าน Instagram, สร้างกระแสใหม่บน YouTube, สร้างภาพลักษณ์การสื่อสารด้วย LINE หรือแม้กระทั่งสร้าง Conversion จากลูกค้าแบบ B2B ด้วย LinkedIn
ยกตัวอย่างความสำเร็จของ Primal เช่น โปรเจกต์ธุรกิจผู้ให้บริการเช่าที่พักอาศัยระยะยาว ซึ่งหลังจากทีมงานเข้าไปช่วยสร้างแคมเปญทำให้มีจำนวนผู้เข้าชมเพิ่มขึ้นกว่า 86% ทั้งยังช่วยดึงดูดลูกค้าคุณภาพให้เข้ามาใช้บริการจนมียอดจองเพิ่มขึ้น 76% หรือโปรเจกต์ของศูนย์บริการสปาบูติกที่มีจำนวนผู้เข้าเว็บไซต์เพิ่มขึ้น 23% จนมียอดจองจองเข้ารับบริการหลังทำแคมเปญถึง 1,846 ยอด
ทั้งหมดนี้คือความสำเร็จของ Primal เอเจนซี่ที่พร้อมให้คำแนะนำและช่วยวางแผนธุรกิจให้ยังคงดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น โดยเฉพาะการปรับแผนการตลาดด้วยกลยุทธ์ FASTR อย่างที่กล่าวมา ซึ่งเป็นเทคนิคสำคัญที่หลายๆ แบรนด์สามารถนำไปปรับใช้ให้เข้ากับธุรกิจของตัวเองได้
หากคุณกำลังมองหาผู้เชี่ยวชาญที่จะมาช่วยผลักธุรกิจของคุณให้ผ่านพ้นจากสถานการณ์นี้ Primal ยินดีที่จะพาคุณก้าวข้ามมันไปด้วยกัน
มาทำความรู้จัก Primal ให้มากขึ้นได้ที่ https://www.facebook.com/primalagencyth/