ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัจจุบันคนหันหลังให้กับการเป็นมนุษย์เงินเดือน เพื่อก้าวสู่หนทางของอาชีพอิสระกันมากขึ้น ในเมื่อเรามีสิ่งอำนวยความสะดวกให้ทำงานนอกบ้านมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Co-Working Space ผุดขึ้นมาเต็มบ้านเต็มเมือง, อินเทอร์เน็ตแรงเร็วดั่งใจนึก, โน๊ตบุคสุดถึกที่ตะลุยกับเราไปได้ทุกแห่ง หรือโปรแกรมทำงานที่มีฟังก์ชั่นครบครัน ทำให้เราสามารถเปลี่ยน “ทุกที่” ให้กลายเป็น “ที่ทำงาน” เกิดเป็นไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่เรียกว่า Digital Nomad ขึ้นมา
หากแปลตรงตัว Digital Nomad จะแปลว่า “ชนเผ่าเร่ร่อนในยุคดิจิทัล” โดยคำว่า Nomad คือวิถีชีวิตแบบชนเผ่าเร่ร่อนสมัยโบราณ เมื่อบวกกับคนยุคดิจิทัล ก็เท่ากับคนที่ดำเนินชีวิตประจำวันไม่ติดอยู่กับที่ อาศัยเทคโนโลยีและสัญญาณอินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือในการสื่อสารทำงานเท่านั้น
พูดง่ายๆ คือทำงานที่ไหนก็ได้ ขอแค่มีคอมพิวเตอร์ถึกๆ กับอินเทอร์เน็ตแรงๆ ก็พอ เราจึงมักเห็น Digital Nomad นั่งทำงานตามร้านกาแฟ สวนสาธารณะ ชายทะเล ผาน้ำตก ริมขอบเหว #มีจริงๆนะ หรือบางคนย้ายถิ่นฐาน ทำงานต่างแดนไปเรื่อยก็มี
ประเทศไทยเป็นอีกหนึ่งประเทศไทยที่มี Digital Nomad หลั่งไหลเข้ามาเช็คอินจำนวนมาก ไม่เพียงเฉพาะเมืองหลวงเท่านั้น แต่รวมถึงเมืองเหนืออย่างเชียงใหม่ที่ติดอันดับท็อปเท็นสถานที่ยอดนิยม กระทั่งชาวต่างชาติเคยสร้างคู่มือการใช้ชีวิตแบบ Digital Nomad ในเชียงใหม่มาแล้ว (ลอง “คลิ๊ก” อ่านดู)
แล้วทำไมเชียงใหม่ถึงกลายเป็นฮัพของคนพเนจรยุคดิจิทัลกันนะ?
ลองไปแอ่วบทความนี้กั๋น ให้ฮู้จัก Digital Nomad กับเมืองเหนือแต้ๆ เลยเจ้า
เจียงใหม่ เมืองง่ายๆ สบายๆ เจ้า
Nomad list เว็บรีวิวสถานที่ยอดนิยมสำหรับ Digital Nomad ทำการสำรวจกลุ่ม Digital Nomad มากกว่า 250,000 คนทั่วโลก โดยใช้เกณฑ์ในการพิจารณาหลากหลายสาขา เช่น ค่าครองชีพ ความปลอดภัยจราจร สัญญาณอินเทอร์เน็ต สภาพอากาศ การใช้ภาษาอังกฤษของคนในพื้นที่ แหล่งท่องเที่ยว กระทั่งความเป็นมิตรของชาวเกย์ ฯลฯ
ผลสำรวจล่าสุดพบว่า เชียงใหม่ติดอันดับท็อปเท็นเคียงคู่ภูเก็ตและกรุงเทพฯ โดยมีคะแนนสูงเกือบทุกหมวด โดยเฉพาะค่าครองชีพ, สภาพอากาศ และคุณภาพชีวิต ด้วยบรรยากาศชิลๆ ตะต่อนยอน กับวิวทิวทัศน์อันสวยงาม ทำให้ผู้คนเกิดความคิดสร้างสรรค์ และเพิ่มศักยภาพในการทำงานได้ดีอีกด้วย
จะเห็นได้ว่า Co-Working Space ในเชียงใหม่จึงมีเปอเลอะเปอเต๋อกว่า 10 แห่งรอบเมือง อาทิ Punspace ที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้นๆ หรือสายเฉพาะทาง Makerspace ที่เป็นดั่งสรวงสวรรค์ของช่างฝีมือ เพราะมีบริการ 3D Printing, Laser Cutter และอุปกรณ์อิเลคโทรนิคต่างๆ หรืออยากชมวิวริมแม่น้ำปิงก็สามารถย้ายตัวเองไปที่ Co – Working Cafe เรียกได้ว่า สามารถเลือกสรรบรรยากาศการทำงาน ให้ตรงตามรสนิยม ไลฟ์สไตล์ หรือแนวทางธุรกิจของตนเองได้เลย
เน็ตก่อแฮง ไวไฟก่อนัก
ความที่ธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคดิจิทัล ลักษณะการทำงานของพนักงานรุ่นใหม่จึงต้องมีการปรับตัวให้ทันท่วงที โดยเฉพาะ Digital Nomad ที่ส่วนใหญ่ต้องนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ และทำกิจกรรมทุกอย่างผ่านทางอินเทอร์เน็ตหมดเลย เช่น การเซฟงานไว้ใน Cloud หรือประชุมผ่าน Skype ฉะนั้นความง่ายต่อการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตจึงเป็นเรื่องสำคัญนัก
ทั้งนี้ ข้อมูลจากมูลนิธิสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลังกล่าวว่า ประเทศไทยมีระบบอินเทอร์เน็ตมือถือที่เข้าถึงง่าย ไม่ต้องลงทะเบียนขั้นตอนอะไรให้ยุ่งยาก สามารถเลือกซื้อซิมการ์ดกับแพ็คเกจอินเทอร์เน็ตตามร้านสะดวกซื้อได้ทันที จึงเป็นที่ถูกอกถูกใจ Digital Nomad ชาวต่างชาติเป็นอย่างมาก
รวมไปถึงอินเทอร์เน็ตไวไฟที่เปิดให้บริการฟรีตามร้านกาแฟทุกซอกมุม ไล่ตั้งแต่บริเวณคูเมือง ถนนนิมมานเหมินทร์ หรือนอกเมืองเองก็ตาม Digital Nomad ในเชียงใหม่จึงสามารถเปิดคอมทำงานได้ทุกที่ ทุกเวลา
กิ๋นอยู่บ่าแปง ตังค์เก็บปะล่ำปะเหลือ
อีกหนึ่งเหตุผลของ Digital Nomad ที่เลือกเชียงใหม่เป็นออฟฟิศช่วงคราว คือการมีค่าครองชีพที่ถูกมากๆ เมื่อเทียบกับเมืองอื่น โดย Nomad list คนดีคนเดิมเคยคำนวณค่าครองชีพในเชียงใหม่คร่าวๆ ไว้ราว 913 ดอลลาร์/เดือน ถูกกว่าเมืองอันดับ 1 อย่างเมืองคังกู บาลี อินโดนีเซีย ที่มีค่าครองชีพ 1080 ดอลลาร์/เดือน และถูกกว่ากรุงเทพฯ ที่สูงถึง 1236 ดอลลาร์/เดือน
สอดคล้องกับ แคทลีน เพดดิกอร์ด ผู้ก่อตั้ง Live and Invest Overseas บริษัทให้คำปรึกษาสำหรับการย้ายถิ่นฐานไปใช้ชีวิตในต่างแดน ที่เคยจัดอันดับเชียงใหม่เป็นเมืองน่าอยู่อันดับ 5 ด้วยเหตุผลว่า เชียงใหม่มีค่าครองชีพต่ำ อากาศดี ประวัติศาสตร์เจ๋ง และวัฒนธรรมโดดเด่น
จะเห็นได้ว่าการเลือกเมืองจึงแปรผันตรงกับความหนาของกระเป๋าตังค์ เชียงใหม่จึงเป็นตัวเลือกแรกๆ สำหรับ Digital Nomad สายประหยัด ที่ต้องการความมั่นคงทางการเงิน เพื่อที่เขาจะสามารถรักษาวิถีชีวิตแบบ Digital Nomad ต่อไป
จาวฟรีแลนซ์มีนักเน้อ
ด้วยรสชาติหอมหวานของ “ความอิสระใหม่” ที่การทำงานแบบเดิมให้ไม่ได้ คนยุคมิลเลนเนียลที่ให้ความสำคัญกับการจัดสมดุล Work-Life Balance เป็นหลัก จึงหันมาทำงานเป็นฟรีแลนซ์กันมากขึ้น ซึ่งเราอาจเทียบเคียง Digital Nomad ก็คือกลุ่มคนที่ทำงานฟรีแลนซ์นั่นแหละ แต่เป็นฟรีแลนซ์รุ่นใหม่ที่เน้นทำงานผ่านคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตเป็นหลัก
มีข้อมูลน่าสนใจจากการสำรวจสถิติแรงงานของสหรัฐอเมริกาที่คาดการณ์ไว้ว่า ในปี 2020 จะมีคนทำงานอิสระมากถึง 60 ล้านคน หรือมากกว่า 40% ของแรงงานทั้งหมด และคาดว่าในปี 2035 อาจมี Digital Nomad ทั่วโลกกว่า 1 พันล้านคน เท่ากับว่าคนทำงานอิสระจะกลายเป็นอนาคตของตลาดแรงงานของโลกเลยทีเดียว
การเพิ่มขึ้นของ Digital Nomad เท่ากับว่า จะมีคนย้ายถิ่นฐานการทำงานมากขึ้น โดยเฉพาะเชียงใหม่ที่กำลังได้รับความนิยม ความที่ขนาดตัวเมืองเท่าเดิม แต่คนย้ายสํามะโนครัวเข้ามาเรื่อยๆ อนาคตเชียงใหม่จึงมีแนวโน้มกลายเป็นฮัพของคนพเนจรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ใช้โปรแกรมดี ชีวิตก่อดีเจ้า
แม้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์จะก้าวหน้าขนาดไหน ไวไฟแรงระดับโหลด Game of Thrones จบซีซั่นในไม่มีนาที หากโปรแกรมไม่อำนวย ก็พาซวยได้นะเจ้า
หลายครั้งเรามักใช้โปรแกรมที่ไม่ได้มาตรฐานในการทำงาน ซึ่งก่อให้เกิดปัญหามากมายตามมา ไม่ว่าจะเป็นการเด้งออกทั้งที่ยังไม่ได้เซฟ นับจำนวนคำและตัวอักษรพลาด หรือที่เจอบ่อยๆ ก็จอขาวโดยไม่ทันตั้งตัว ทำเอาเสียงานเสียการ และอาจเสียน้ำตาในที่สุด
ไหนๆ จะเป็น Digital Nomad ทั้งที เราก็อยากแนะนำให้ใช้โปรแกรมทำงานถูกลิขสิทธิ์ดีกว่า ด้วยโปรแกรมทำงานพื้นฐาน Microsoft Office 365 ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ Digital Nomad อย่างสมบูรณ์แบบ ซื้อครั้งเดียวครอบคลุมทุกดีไวซ์ ทั้งพีซี โทรศัพท์ และแท็บเล็ต มีเครื่องมือฟังก์ชั่นมากมายที่เพิ่มความสะดวกสบายในการทำงานโดยไม่ต้องเข้าออฟฟิศ สามารถทำงานได้ทุกแห่งบนโลกผ่านการจัดเก็บระบบ Cloud Computing อย่าง OneDrive ที่แถมให้ฟรีๆ 1 TB ที่สำคัญยังปกป้องข้อมูลเอกสารทั้งหมดด้วย Windows ที่ปลอดภัยที่สุดที่เคยมีมา รับประกันไม่มีไฟล์หลุด ไฟล์หายแน่นอน พร้อมโปรโทรฟรีจาก Skype นาน 60 นาที เวลาอยู่ต่างบ้านต่างเมืองก็สามารถประชุมงาน หรือโทรหาแฟนตอนเหงาๆ ก็ยังได้
เห็นมั้ยละ การใช้โปรแกรมลิขสิทธิ์มีแต่ข้อดีมากมาย ในเมื่อธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคดิจิทัลแล้ว ต่อไปนี้ลักษณะการทำงานของเราก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคดิจิทัลกันด้วยเน้อ
มาเป็น Digital Nomad ตัวจริงด้วยการใช้โปรแกรมถูกลิขสิทธิ์กันเต๊อะ ของแท้ราคาไม่แพงอย่างที่คิด ซื้อซอฟแวร์เหมือนซื้อกาแฟแต่ใช้ได้ทั้งเดือนเลยนะเจ้า ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Microsoft Office 365
ข้อมูลจาก
Northerninnovativestartupthailand