ในช่วงระยะฟื้นฟูจากวิกฤตโควิด-19 ในแวดวงการศึกษาต่างกำลังให้ความสำคัญกับภาวะที่เรียกว่า Lost Generation หรือการสูญเสียเด็กจากการเรียนรู้และระบบการศึกษาไปทั้งรุ่น นักการศึกษาทั่วโลกชี้ว่า ทุกประเทศควรเร่งแผนฟื้นฟูและเปลี่ยนแปลงหลักสูตรและระบบการศึกษาโดยด่วน
สำนักงานภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกของยูนิเซฟ (UNICEF EAPRO), ยูนิเซฟ ประเทศไทย, องค์การรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEAMEO) Save the Children มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี และกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมเป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมวิชาการนานาชาติเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา 2022 ภายใต้แนวคิด ก้าวสู่ความเสมอภาคไปด้วยกัน (International Conference on Equitable Education: Together Towards Equity) ระหว่างวันที่ 19 – 20 ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ โดยมีนักการศึกษา นักพัฒนา ผู้เชี่ยวชาญจากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมกว่า 2,000 คน
ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวว่า การเร่งฟื้นฟูเด็กและเยาวชนกลับสู่ภาวะปกติ จนสามารถกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาได้อย่างเสมอภาคเท่าเทียม ต้องอาศัยการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ด้วยแนวทาง All for Education ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์หลักของการประชุมวิชาการนานาชาติเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา 2022 ความรู้และประสบการณ์จากการประชุมจะช่วยให้แต่ละประเทศเกิดแผนฟื้นฟูและพัฒนาเด็กที่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด เกิดการลงทุนเพื่อการศึกษาที่ยั่งยืนในระยะยาว และเป็นแนวทางสำคัญที่จะช่วยลดภาวะ Lost Generation ซึ่งจะเป็นความสูญเสียที่จะส่งผลกระทบต่อสังคมไทย และสังคมโลกอย่างมหาศาล
กสศ. ยังได้ร่วมกับยูเนสโก จัดการประชุมพันธมิตรเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาครั้งที่ 5 หรือ เครือข่ายกสศ.โลก (The 5th Meeting of Equitable Education Alliance: Identify Opportunities for EEA Activities) ซึ่งมีผู้แทนจาก 10 องค์กร 12 ประเทศเข้าร่วมการประชุมแบบไฮบริด ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ โดยมีเป้าหมายขับเคลื่อนขยายผลให้เกิดการแก้ปัญหาขึ้นในทุกรูปแบบและทุกระดับขั้นการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเปราะบางในสังคม ต้องสามารถเข้าถึงการศึกษาคุณภาพได้อย่างเสมอภาคเท่าเทียม
โดยต่างเห็นตรงกันว่าสถานการณ์ด้านการศึกษาในปัจจุบันเข้าขั้นภาวะวิกฤต การระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ช่องว่างความเสมอภาคทางการศึกษาชัดเจนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอุปสรรคด้านทักษะทางดิจิทัลและความสามารถในการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัล สภาวะเศรษฐกิจของครอบครัว และการดำเนินการเพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชนด้านการศึกษา ดังนั้น การมีแผนเพื่อฟื้นฟูการเรียนการสอนภายหลังการระบาด และการสรุปบทเรียนเพื่อเรียนรู้จากวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วนเพื่อลดวิกฤต Lost Generation ที่กำลังเกิดขึ้น
ตัวแทนจากองค์กรต่างๆ ได้แลกเปลี่ยนแนวทางการทำงาน และการแก้ไขปัญหาเพื่อช่วยให้บรรดาพันธมิตรได้นำไปปรับใช้เพื่อสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาในพื้นที่ของตนเอง โดยรวมเห็นตรงกันว่าให้มุ่งสนับสนุนการเข้าถึงการศึกษาคุณภาพ ป้องกันเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษา และพัฒนาระบบการศึกษาบนพื้นฐานที่ต้องไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง นอกจากนั้นยังสนับสนุนการศึกษาในวัยผู้ใหญ่ เพื่อให้สอดคล้องกับการเรียนรู้ตลอดชีวิต และเน้นย้ำว่ากลุ่มการศึกษานอกโรงเรียนเป็นกลุ่มใหญ่ มีประชากรจำนวนมากจึงต้องให้ความสำคัญไม่แพ้กลุ่มการศึกษาในระบบรวมถึงแนวทางการจัดสรรเงินทุนเพื่อขับเคลื่อนความเสมอภาคทางการศึกษา ส่งเสริมให้เก็บข้อมูลเพื่อให้เงินทุนด้านการศึกษาถูกใช้ไปกับกลุ่มที่ต้องการอย่างแท้จริง
ภาพรวมของสถานการณ์ทางการศึกษาในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกในขณะนี้ค่อนข้างน่าเป็นห่วง ไม่น้อยไปกว่าประเทศไทย เพราะวิกฤตการระบาดครั้งใหญ่ของไวรัสโควิด-19 ในช่วงกว่า 2 ปีที่ผ่านมา ทำให้กลุ่มเด็กเปราะบางเสี่ยงหลุดจากระบบการศึกษา ขณะที่เด็กทั่วไปก็เผชิญกับความเสี่ยงของภาวะสูญเสียการเรียนรู้ (Learning Loss) และจากข้อมูลของสำนักงานสถิติยูเนสโกพบว่า ขณะนี้มีนักเรียนทั่วเอเชียราว 6.7 ล้านคน ครอบคลุมตั้งแต่ระดับอนุบาลไปจนถึงระดับมัธยมศึกษา เสี่ยงถูกบีบให้ออกจากโรงเรียนกลางคันอีกด้วย
เรื่องที่ทุกประเทศต้องดำเนินการเร่งด่วนในเวลานี้ ซึ่งเป็นบทสรุปใน Bangkok Statement 2022 หรือถ้อยแถลงการณ์กรุงเทพฯ 2022 ได้รับการรับรองในการประชุมรัฐมนตรีการศึกษาระดับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ครั้งที่ 2 (APREMC-II) และผลของการประชุมสุดยอดปฏิรูปการศึกษา (TES) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติสมัยที่ 77 ที่นครนิวยอร์ก คือการเปิดโรงเรียน ฟื้นฟูการศึกษา สร้างการศึกษาที่ต่อเนื่องเพื่อทุกคน ที่สำคัญคือการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรและวิธีการเรียนการสอน โดยมุ่งเน้นทักษะพื้นฐานทางสังคม อารมณ์ และทักษะทางดิจิทัล ซึ่งสำคัญสำหรับโลกในศตวรรษที่ 21 นอกจากมุ่งเน้นวิชาความรู้แล้ว ต้องไม่ลืมที่จะบ่มเพาะทักษะทางชีวิตอื่นๆ เช่น ทักษะความคิดสร้างสรรค์ และทักษะความเป็นผู้ประกอบการ เพื่อให้เด็กคนหนึ่งสามารถพัฒนาได้อย่างเต็มศักยภาพและความถนัดของตนเอง
“กุญแจสำคัญของการเปลี่ยนผ่านการศึกษา ก็คือหลักสูตรที่ให้ความสำคัญกับความต้องการและความถนัดของผู้เรียน การประเมินโดยให้น้ำหนักที่ความสามารถของผู้เรียน มากกว่าที่จะนำไปเปรียบเทียบกับใคร แต่ขณะเดียวกันก็ต้องหาช่องว่างทางการศึกษาให้เจอเพื่อป้องกันไม่ให้มีใครถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง ความเสมอภาคเท่าเทียมเป็นสิ่งจำเป็นต้องมีอยู่ในทุกแนวทางของการฟื้นฟูและเปลี่ยนผ่านระบบการศึกษาในครั้งนี้” Ms. Jenelle Babb (คุณเจนเนลล์ บาบบ์) ที่ปรึกษาระดับภูมิภาค (การศึกษา) สำนักงานยูเนสโก กรุงเทพฯ กล่าว
การสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาของไทยและประเทศต่างๆ ในเอเชีย-แปซิฟิก แม้จะมีปัญหาที่ต้องใช้เวลาและความต่อเนื่องในการจัดการแก้ไข แต่เป็นเรื่องน่ายินดีที่หน่วยงานทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือและลงมือทำอย่างแข็งขัน เพราะมีแนวคิดที่ตรงกันว่า ความเสมอภาคทางการศึกษาเป็นกุญแจสำคัญ ที่จะช่วยให้แต่ละประเทศสามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนในปี 2030 ได้
“เราจำเป็นต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน เพื่อฟื้นฟูการเรียนรู้ที่หายไปตั้งแต่ก่อนและระหว่างการระบาดของโควิด-19 การทำงานและประสานงานร่วมกันเป็นสิ่งจำเป็นของช่วงเวลานี้ ทั่วโลกเพิ่งเริ่มเข้าใจถึงผลกระทบและข้อจำกัดต่างๆ ที่มีต่อเด็กและการเรียนรู้ของพวกเขา เด็กอายุ 10 ปีจากประเทศยากจนและรายได้ปานกลางไม่สามารถอ่านหนังสือหรือเข้าใจเรื่องราวง่ายๆ ได้ เพิ่มขึ้นจาก 53% เป็น 70% ซึ่งเป็นทักษะขั้นพื้นฐานจำเป็น จึงบั่นทอนโอกาสที่เด็กคนนั้นจะได้รับการพัฒนาจนเต็มศักยภาพ ทำให้ไม่มีทางเลือกมากนัก และบีบให้ต้องจำยอมตกเป็นเบี้ยล่างและการเอารัดเอาเปรียบของสังคม เช่น หากเป็นเด็กหญิงก็ต้องถูกบีบบังคับให้แต่งงานก่อนวัยอันควร กลายเป็นคุณแม่วัยใสที่ยังไม่พร้อม หรือหากเป็นเด็กชายก็กลายเป็นแรงงานเด็กราคาถูก” Ms. Kyungsun Kim (คุณ คยองซอน คิม) ผู้อำนวยการองค์การยูนิเซฟประเทศไทย (UNICEF Thailand) ให้ความเห็น
ผลการศึกษาล่าสุดที่เปิดเผย โดยธนาคารโลกจัดทำร่วมกับ UNESCO, UNICEF, กระทรวงการต่างประเทศและการพัฒนาแห่งสหราชอาณาจักร (UK government Foreign Commonwealth and Development Office -FCDO), USAID และ มูลนิธิบิลล์ แอนด์ เมลินดา เกตส์ ซึ่งเผยแพร่เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาพบว่า อัตราความอ่อนด้อยทางการเรียนรู้ของเด็กเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แม้ในประเทศที่มีการเรียนออนไลน์มาใช้ก็ตาม ส่งผลให้เด็กนักเรียนรุ่นนี้ มีแนวโน้มสูญเสียรายได้ที่ควรจะหาได้จากช่วงชีวิตของตนถึง 21 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเทียบเท่า 17% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) โลกในปัจจุบันเลยทีเดียว