แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย แต่สิ่งที่ส่งผลกระทบตามมา โดยเฉพาะด้านการศึกษาของเด็กประถมตอนต้นยังถือว่าน่าเป็นห่วง ซึ่งเป็นผลมาจากการปิดเรียนในช่วงการของแพร่ระบาด ทำให้เด็กขาดโอกาสในการเข้าถึงการเรียนรู้อย่างที่ควรจะเป็น
จนเกิดผลกระทบต่อการเรียนรู้ทั้งในเรื่องของพัฒนาการและภาวะกล้ามเนื้อบกพร่อง ทั้งกล้ามเนื้อมัดเล็กและมัดใหญ่ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา จึงได้เปิดรายงานฉบับพิเศษ ‘ห้องเรียนฟื้นฟูหลังโควิด-19’ เพื่อเปิดเผยภาวะฉุกเฉินทางการเรียนรู้เพราะโควิด-19 พร้อมแนะแนวทางเร่งฟื้นฟู
ประเทศไทยกำลังก้าวสู่ภาวะวิกฤตทางการเรียนรู้ โดยเฉพาะเด็กช่วงชั้นประถมศึกษาตอนต้น จากผลวิจัยสถานะความพร้อมในการเข้าสู่ระบบการศึกษาของเด็กปฐมวัย (Thailand SchoolReadiness Survey: TSRS) เพื่อประเมินว่าเด็กมีความพร้อมที่จะเรียนรู้ได้อย่างเต็มศักยภาพเมื่อเข้าสู่ระดับประถมศึกษาหรือไม่ ซึ่ง กสศ.ร่วมวิจัยกับ รศ. ดร.วีระชาติ กิเลนทอง สถาบันสถาบันวิจัยเพื่อการประเมินและออกแบบนโยบาย (RIPED) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย วัดทักษะพื้นฐานด้านภาษา ด้านคณิตศาสตร์ และ Executive Functions (EFs) ของเด็กระดับอนุบาล 3 จำนวน 73 จังหวัด ระหว่างปี 2563 – 2565 พบว่า เด็กอนุบาล 3 ขาดความพร้อมเข้าเรียนประถมต้นในปัจจุบัน ทำให้มีโอกาสเป็นเด็กหางแถวมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
“เด็กปฐมวัยที่มีภาวะการเรียนรู้ถดถอย มีโอกาสสูงที่จะประสบปัญหาการเรียนรู้ในระดับประถมศึกษา เพราะพวกเขาคือเด็กอนุบาลยุคโควิด-19 ที่ข้ามมาเรียนชั้นประถมต้นในปัจจุบัน ซึ่งตลอด 2 ปีที่ผ่านมา การปิดเรียนแต่ละวันในช่วงการระบาดของโควิด-19 ทำให้เด็กเสียโอกาสในการเรียนรู้ไปกว่าร้อยละ 90 ของระดับการเรียนรู้ที่ควรจะได้ จึงส่งผลให้เกิดภาวะฉุกเฉินทางการเรียนรู้ขึ้น โดยเด็กประถมต้นในวันนี้ มีพัฒนาการเท่าเด็กชั้นอนุบาล เพราะช่วงประถมตอนต้นคือพื้นฐานสําคัญของการเรียน การอ่าน การคิดเลข ถ้าเริ่มต้นไม่ดี เรียนไม่รู้เรื่องตั้งแต่เล็ก โอกาสที่จะล้มเหลวในอนาคตมีสูง ด้วยพื้นฐานที่ไม่แข็งแรง ทําให้มีโอกาสที่จะหลุดออกจากระบบการศึกษาได้” ดร.ภูมิศรัณย์ ทองเลี่ยมนาค ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา กสศ. กล่าว
ขณะเดียวกัน สถานการณ์ฉุกเฉินนี้ได้เกิดขึ้นทั่วโลก จากรายงานล่าสุดในการประชุมวิชาการนานาชาติเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา 2022 ระบุว่า เด็กเล็กมากกว่า 167 ล้านคนทั่วโลกสูญเสียโอกาสในการเข้าถึงบริการการศึกษาก่อนปฐมวัย เด็กอายุ 10 ปีจากประเทศยากจนและรายได้ปานกลางไม่สามารถอ่านหนังสือหรือเข้าใจเรื่องราวง่ายๆ ได้ เพิ่มขึ้นจาก 53% เป็น 70% ขณะที่ 34% ของเด็กทั่วโลก มีภาวะความเครียด ซึมเศร้า และวิตกกังวลเพิ่มขึ้น นักการศึกษาทั่วโลกต่างเป็นห่วงกับสถานการณ์นี้ และพยายามกระตุ้นให้ประเทศต่างๆ ลงทุนในการแก้ปัญหาและมีแผนฟื้นฟูอย่างจริงจังโดยเร่งด่วน มิเช่นนั้นแล้ว อาจสูญเสียเด็กรุ่นนี้ไปทั้งรุ่น หรือ Lost Generation ได้
ดร.อุดม วงษ์สิงห์ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาคุณภาพ ครู นักศึกษาครู และสถานศึกษา กสศ. กล่าวว่า โครงการโรงเรียนพัฒนาตนเอง มุ่งปิดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาระหว่างโรงเรียนในเมืองกับชนบท ที่มีช่องว่างของการเรียนรู้ห่างกันถึง 2 ปีการศึกษา โดยสนับสนุนการพัฒนาครูและโรงเรียนให้มีขีดความสามารถสูงในการจัดการศึกษา เพื่อให้เด็กและเยาวชนเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน
โดยโครงการโรงเรียนพัฒนาตนเอง และเครือข่ายมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ได้วิจัยเชิงพื้นที่เพื่อหาแนวทางฟื้นฟูพัฒนาการเรียนรู้ตลอดภาคเรียนที่ผ่านมา จำนวน 74 โรงเรียน ใน 6 จังหวัด ได้แก่ สตูล ปัตตานี สงขลา นครศรีธรรมราช ยะลา และนราธิวาส พบว่า การทดสอบวัดสมรรถภาพความแข็งแรงกล้ามเนื้อมัดเล็กของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 1,918 คน ด้วยการวัดแรงบีบมือ นักเรียน กว่า 98% มีแรงบีบมือต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยของเด็กในวัยเดียวกัน ผ่านเกณฑ์เพียง 1.19% เท่านั้น และมากกว่า 50% จับดินสอผิดวิธี ซึ่งสะท้อนว่ากล้ามเนื้อมือไม่แข็งแรง ส่งผลให้เขียนหนังสือช้า ควบคุมทิศทางการเขียนไม่ได้ การทรงตัวนั่งเขียนไม่ดี ทำงานเสร็จไม่ทันเพื่อน เรียนไม่รู้เรื่อง มีภาวะเครียด ขาดเรียนบ่อย และจากการสังเกตพฤติกรรมในห้องเรียน 74 โรงเรียน ได้สรุปเป็น 14 สัญญาณเตือนกล้ามเนื้อบกพร่องในเด็กประถมต้น และข้อค้นพบจากห้องเรียนฟื้นฟู เด็กจะมีพัฒนาการที่ค่อยๆ ดีขึ้นได้ภายใน 14 วัน หากมีการพัฒนาและช่วยเหลืออย่างจริงจัง
สำหรับ 14 สัญญาณเตือนกล้ามเนื้อบกพร่องในเด็กประถมต้น ที่ชวนให้ผู้ปกครองและครูร่วมกันสังเกต ไม่ว่าจะเป็น เด็กพูดเป็นคำๆ ไม่เป็นประโยค, เล่าเรื่องไม่ได้, ท่าทางจับดินสอผิด เกร็งเมื่อยล้า, เขียนได้ช้าหรือเขียนไม่เสร็จ, ตอบคำถามเป็นคำๆ หรือประโยคสั้นๆ, อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้แม้คําพื้นฐาน, กระโดดขาเดียวและกระโดดสองขาพร้อมกันไม่ได้ เด็กบางคนมีอาการทางจิตใจ เช่น เครียด ไม่โต้ตอบ ไม่สื่อสาร แยกตัวจากเพื่อน งอแง ขาดเรียนบ่อย ไปห้องน้ำบ่อยและไปครั้งละนานๆ บางคนขอไปห้องพยาบาลเพราะปวดหัว ปวดท้องบ่อยจนผิดสังเกต ทั้งหมดนี้เพื่อเป็นแนวทางเบื้องต้นให้สังเกตบุตรหลานหรือลูกศิษย์ของตนเอง และช่วยฟื้นฟูให้ทันท่วงที
“การแก้ไขปัญหาให้ตรงจุดร่วมกับครูและโรงเรียน จำเป็นต้องออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ให้บูรณาการและสอดคล้องกับการพัฒนาฐานกาย ต้องทําอย่างจริงจัง ต่อเนื่อง ให้เวลา ให้กําลังใจ ให้โอกาสเด็ก และขยายผลไปยัง ป.1 ถึง ป.3 ส่งผลให้การเรียนรู้เห็นผลแบบค่อยเป็นค่อยไป หากได้ฝึกอย่างจริงจังต่อเนื่อง 2 สัปดาห์หรือ 14 วัน เด็กส่วนใหญ่มีพัฒนาการดีขึ้นอย่างชัดเจน หลัง 1 สัปดาห์จะพบว่า เด็กมั่นใจขึ้น ร่าเริงสื่อสารดีขึ้น มีสมาธิจดจ่อในการฟังมากขึ้น กินอาหารมากขึ้น เริ่มเล่นกับเพื่อนและคิดวิธีเล่นต่อยอดจากกิจกรรมที่ฝึก ตื่นตัวรอคอยที่จะได้เล่นกิจกรรม สนุกและมุ่งมั่นกับการทำกิจกรรมการเรียนรู้แบบท้าทาย มีค่าแรงบีบมือจาก 7.6 กิโลกรัม จะเพิ่มเป็น 9.8 กิโลกรัม เด็กจะมั่นใจในการใช้ร่างกายเคลื่อนไหวแบบต่างๆ มีการทรงตัวที่มั่นคง จนรู้สึกไว้วางใจในศักยภาพของร่างกายตนเอง ล้วนเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความพร้อมในการเรียนรู้ ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดความเสี่ยงในการสูญเสียเด็กรุ่นนี้ในระยะยาวได้” ผศ.พรพิมล คีรีรัตน์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตหาดใหญ่ โค้ชโครงงานฐานวิจัย โครงการโรงเรียนพัฒนาตนเอง(TSQP) กสศ. ให้คำแนะนำ
จากรายงาน ‘ห้องเรียนฟื้นฟูหลังโควิด-19’ ได้สรุปแนวทางการฟื้นฟูพัฒนาการเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัยและประถมศึกษาตอนต้น ระดับโรงเรียนและครอบครัวไว้ดังนี้
1.สังเกต วิเคราะห์พัฒนาการเรียนรู้ของเด็กๆ ที่เคยทำได้ แต่ไม่สามารถทำได้เหมือนเดิม
2.สํารวจสุขภาพจิตใจของเด็กๆ ว่ามีความสุขในการเรียนหรือไม่
3.หยุดการเร่งสอนเร่งเรียน ชะลอ 8 สาระวิชา เมื่อพัฒนาการของสมองยังไม่พร้อมเรียนรู้ เพราะจะส่งผลเสียให้เด็กเกิดความทุกข์และหันหลังให้กับห้องเรียนได้
4.ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ใหม่ ให้บูรณาการและสอดคล้องกับการพัฒนาฐานกาย เพื่อพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ กระดูก ข้อ แขน ขา ลำตัว และระบบประสาทสัมผัส โดยทำอย่างจริงจังและต่อเนื่องในช่วงชั้นประถมต้น
5.ครอบครัวกับโรงเรียนต้องทํางานประสานกัน จะเป็นภาระใครคนใดคนหนึ่งไม่ได้