ปกติเวลาเจอเรื่องฉิบหายในชีวิต คุณปลอบใจตัวเองว่าอะไร? ‘อย่าคิดมาก เดี๋ยวมันก็ผ่านไป’ ‘ไม่เห็นจะยากตรงไหน เราเก่งอยู่แล้ว’ good vibe และ bright side ถูกหยิบยกมาใช้บ่อยๆ เพื่อกล่อมให้รู้สึกว่า กำแพงตรงหน้า ไม่ได้สูงเกินกว่าจะข้ามผ่านไปได้
.
เราทุกคนล้วนแล้วแต่อยากประสบความสำเร็จในชีวิต ซึ่งระหว่างทางที่ก้าวไปสู่จุดนั้น เราก็คงอยากให้รายล้อมไปด้วยพลังบวกและกำลังใจ เพราะถ้าเจอกับคำพูดดูถูก สบประมาท บั่นทอนจิตใจ เราก็คงจะท้อถอย ล้มเลิก ไม่สามารถเดินไปถึงฝั่งฝันอย่างแน่นอน
.
เราต่างเชื่อกันอย่างนั้นมาตลอด จนกระทั่งวันหนึ่ง เราดันหมดแรงเสียก่อนจะข้ามไปถึงอีกฝั่ง ความผิดหวังประดังประเดเข้ามา จากการที่คิดว่าทุกสิ่งจะผ่านไปได้ด้วยดีแท้ๆ เพราะการมองโลกที่ง่ายดายเกินไป ทำให้เราหลงลืมความเป็นจริงว่า กำแพงนั้นสูงเสียดฟ้า และยากที่ปีนป่ายขึ้นไปด้วยตัวคนเดียว หรือข้ามไปภายในระยะเวลาเพียงสั้นๆ
.
งั้นลองกลับมาเผชิญหน้ากับความจริง แต่ยังคงความเชื่อมั่นในตัวเองไว้ สิ่งต่างๆ อาจจะง่ายขึ้นก็ได้นะ
.
Stockdale Paradox คือ หลักการมองปัญหาแบบ ‘ย้อนแย้ง’ ของ เจมส์ สต็อกเดล (James Stockdale) อดีตผู้ลงสมัครเลือกตั้งรองประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ซึ่งในช่วงสงครามเวียดนาม เขาถูกจับไปเป็นเชลยและถูกทรมานร่างกายนานถึง 7 ปี ในขณะที่เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่า ตัวเองจะมีชีวิตรอดต่อไปได้ยังไง เขาก็ค้นพบวิธีคิดแบบย้อนแย้ง ที่สามารถทำให้เขาหลุดพ้นจากช่วงเวลานั้นมาได้อย่างไม่สาหัสมากเกินไป
.
วิธีคิดแบบสต็อกเดล เป็นความสามารถในการบาลานซ์สถานการณ์ที่เกิดขึ้นตาม ‘ความเป็นจริง’ (realism) กับการ ‘มองโลกในแง่ดี’ (optimism) ได้อย่างเท่าๆ กัน หรือกล่าวคือ เราไม่ได้มองโลกขาวเกินไปหรือดำเกินไป ในขณะที่เห็นว่าปัญหาตรงหน้านั้นสาหัสจริง แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะยอมแพ้ หรือล้มเลิกความพยายามกับสิ่งนั้น
.
ยกตัวอย่างเช่น “โปรเจ็กต์นี้ยากจริงแฮะ แถมต้องใช้เวลาทำนานมาก แต่มันจะผ่านไปได้ด้วยดีแน่นอน”
.
ฟังดูแล้วอาจจะรู้สึกว่า เอ๊ะ ยังไงนะ? แต่สต็อกเดลเชื่อว่า คนที่จะสามารถเอาตัวรอดจากวิกฤตที่ร้ายแรงไปได้ ไม่ใช่คนที่โลกสวยจนมองปัญหาเป็นเรื่องเล็กน้อย หรือโลกมืดจนมองปัญหาใหญ่เกินกว่าจะแก้ แต่คือคนที่รับรู้ได้ว่า สถานการณ์ตรงหน้าเป็นอย่างไร และยังมีศรัทธาในตัวเองอยู่
.
“อย่าสับสนในความเชื่อของตัวเองว่าคุณจะมีชัยชนะหรือไม่มีทางแพ้ ด้วยการเผชิญหน้ากับความเป็นจริงที่โหดร้ายในปัจจุบัน ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม” สต็อกเดลกล่าว ซึ่งวิธีคิดนี้สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ตั้งแต่ปัญหาชีวิตเล็กๆ น้อยๆ ไปจนถึงวิกฤตระดับโลก อย่างโรคระบาดหรือพิษเศรษฐกิจในปัจจุบัน
.
แนวคิดของสต็อกเดลกลายเป็นที่แพร่หลาย และมีอีกแนวคิดหนึ่งที่คล้ายคลึงกัน นั่นก็คือ ‘Tragic Optimism’ ของวิกเตอร์ แฟรงค์ (Viktor Frankl) หรือการมองโลกในแง่ดีท่ามกลางการเผชิญหน้ากับโศกนาฏกรรม เพราะถึงแม้ความหวังที่จะได้เจอสิ่งที่ดีที่สุดจะเป็นเรื่องสำคัญ แต่การรับรู้และเตรียมตัวเตรียมใจกับสิ่งแย่ๆ ที่จะเกิดขึ้น ก็ถือเป็นช่วยที่ดีในการรับมือกับปัญหา
.
สรุปคือ การยอมรับความยากลำบากที่เกิดขึ้นตรงหน้า ก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิดนัก เพราะมันทำให้เราสามารถประเมินพละกำลังของตัวเองในการแก้ไขปัญหาได้ ในขณะเดียวกัน ก็ยังคงเชื่อมั่นและศรัทธาว่าเราจะทำสำเร็จ โดยที่ไม่ได้คาดหวังกับผลลัพธ์นั้นมากเกินไป จนความคาดหวังกลับมาทำร้ายตัวเราเอง
.
อ้างอิงข้อมูลจาก
https://bigthink.com/personal-growth/stockdale-paradox-confronting-reality-vital-success
https://vitals.lifehacker.com/how-the-stockdale-paradox-can-help-you-embrace-uncertai-1842766780
.
#Brief #TheMATTER