ประวัติศาสตร์ที่เคยเป็นดั่งยาขมของใครหลายคน ทั้งเบื่อการท่องจำ ไม่อินกับเรื่องราว ไม่อาจแตะต้องเนื้อหาได้ในทุกแง่มุม แต่ในวันนี้ ‘อโยธยาเอยาวดี’ กำลังพาหลายคนกลับไปสนุกกับประวัติศาสตร์ในแง่มุมของความบันเทิงจากการอ่านการ์ตูน
จาก ‘บุษบาเสี่ยงตรีน’ ถึง ‘อโยธยาเอยาวดี’ การ์ตูนที่มอบความบันเทิงต่างจากเส้นเรื่องเดิมที่เราคุ้นเคยกัน ด้วยความตั้งใจของผู้วาดที่ต้องการให้เนื้อเรื่องนี้เป็นเรื่องของโลกคู่ขนานอีกใบที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับโลกที่เราอยู่ในตอนนี้ จึงสามารถเนรมิตรเรื่องราวรสชาติใหม่ให้เราได้ชิมกัน ความขบขันในเรื่องราววรรณคดี แง่มุมใหม่ในประวัติศาสตร์ ที่แม้แต่การบอกเล่าจากบันทึกทางประวัติศาสตร์ต่างๆ ก็ไม่อาจเล่าได้ตรงกันทั้งหมด
นั่นหมายความว่า ผู้เล่าไม่จำกัดตัวเองอยู่กับมุมมองเดิมในวัตถุดิบที่มี เราเลยอยากชวนทุกคนมาพูดคุยกับ AMULIN นักวาดเจ้าของผลงานดังอย่างบุษบาเสี่ยงตรีนและอโยธยาเอยาวดี ถึงแรงบันดาลใจและขั้นตอนกว่าจะมาเป็นการ์ตูนหนีขนบเดิมหนึ่งเรื่อง
กว่าจะเป็นการ์ตูนหนึ่งตอน ต้องผ่านขั้นตอนอะไรบ้าง?
ปกติถ้าเป็นงานเว็บตูน ก็จะมีขั้นตอนเขียนเรื่องย่อกว้างๆ ก่อน ถ้าผ่านแล้วค่อยเขียน Treatment ในแต่ละตอนว่าตอนที่ หนึ่ง สอง สาม มีเหตุการณ์หลักประมาณไหน ถ้าตรงนี้ผ่านก็จะเป็นการร่าง Storyboard คร่าวๆ หลังจากนั้นถึงตัดเส้นลงสีค่ะ อันนี้คือขั้นตอนของงานที่มีค่าย Webtoon ดูแลอยู่นะคะ
ส่วนมังงะเรื่องอโยธยาเอยาวดี มันคืองานวาดเล่นคั่นเวลาระหว่างพักซีซั่น จากเรื่องบุษบาเสี่ยงตรีนที่กำลังจะขึ้นซีซั่น 3 ช่วงที่ต้องส่งเรื่องส่ง Storyboard ให้ทางทีมเช็ก วาดตอนสต็อกเพื่อไม่ให้ตายระหว่างทำรายสัปดาห์ ฯลฯ เราก็พักงานมาวาดสิ่งนี้ ฟีลๆ งานแก้เบิร์นเอาต์ค่ะ เพราะเอาจริงๆ คือเราไม่ได้ถนัดลงสี ฮ่าๆ
เหมือนกับงานรายสัปดาห์มันต้องเร่งวาดให้ทันภายใน 7 วัน บางจังหวะรีบๆ บางทีวาดไม่สวยก็ต้องปล่อยไป พอได้กลับมาวาดมังงะก็เหมือนได้ฮีล เราชอบงานขาวดำและเปิดหน้าแบบมังงะค่ะ เพราะงั้นเรื่องนี้มันเริ่มจากจุดที่เล็กมากๆ แค่วาดลงอินเทอร์เน็ต เราเลยไม่ได้เขียน Treatment ละเอียด มีแค่พล็อตกว้างๆ ในหัว ไม่วาดตุนไว้เหมือน Webtoon และให้ตัวละครเป็นคนที่คุมเรื่องราวของเขาเองค่ะ
อโยธยาเอยาวดี เริ่มจากการเป็นการ์ตูนวาดคั่นเวลา แล้วสารตั้งต้นพล็อตนี้มาจากไหน?
เรื่องนี้มาจากภาพ 3 ช่องแรกที่เราเคยวาดไว้เมื่อ 3 ปีก่อน เป็นฉากยุทธหัตถีที่เราตีความออกมาในอีกแบบหนึ่งว่า ถ้าหากทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้เกิดจากความเกลียดชังอย่างที่พวกเราถูกทำให้เข้าใจมาโดยตลอดจะเป็นแบบไหนกันนะ แต่ตอนนั้นด้วยอะไรหลายๆ อย่างทำให้เราไม่กล้าเขียนต่อ แต่อย่างไรก็ตาม เราถือว่าเราสร้างโลกใหม่โดยยึดว่าเป็นโลกคู่ขนาน ไม่ใช่บนโลกที่เราเหยียบตอนนี้ เพียงอ้างอิงหยิบยืมและอาศัยช่องโหว่ทางประวัติศาสตร์ ที่ในพงศาวดารแต่ละเล่มก็บันทึกไว้ต่างกันมาเท่านั้น ในเมื่อขนาดบันทึกยังไม่เหมือนกัน การชำระพงศาวดารก็คล้ายการเขียนเรื่องราวใหม่ ให้ถือว่าเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องแต่งเหมือนกัน แต่แค่หยิบยืมเศษเสี้ยวมาจากบันทึก นำไปปั่นผสมกับเครื่องปรุงอื่นๆ แล้วตีความเขียนใหม่ในอีกมุมที่ไม่เน้นไปที่สงครามและการสร้างความเกลียดชัง
ในตอนแรกอโยธยาเอยาวดีมีเพียงตอนสั้นเท่านั้น ตอนที่กลับมาวาดอีกครั้ง ได้แรงบันดาลใจจากไหน?
ตั้งแต่วาดรูปแรก ถึงเราจะมีพล็อตคร่าวๆ ในหัว แต่เราไม่เคยคิดว่าเราดีพอที่จะเขียนอะไรแบบนี้ได้ เรากลัวว่าเรามือไม่ถึง สิ่งนี้มันยิ่งใหญ่เกินไป ทั้งสงคราม การเมือง ประวัติศาสตร์ ประเทศเพื่อนบ้าน และเราเป็นแค่นักเขียนอิสระ ไม่ได้มีสตูดิโอด้วยซ้ำ อีกอย่าง ภาพแรกมันทำไว้ดีมาก ถ้าเราเอามาเขียนเละเทะ มันน่าเสียดายภาพจำดีๆ ของ 3 ช่องนั้นที่คนชอบ ตลอด 3 ปีที่ผ่านมาเราเลยไม่กล้าสานต่อ และทิ้งภาพนั้นไว้ให้เป็นแค่วันช็อตที่คนรีวนมาให้เห็นบ่อยๆ
แต่ตอนนั้นมันคือจังหวะอะไรไม่รู้ที่คนแชร์ภาพ 3 ช่องนั้นวนกลับมาอีกครั้ง แล้วเราก็รู้สึกคิดถึงปนเสียดายในใจ ก็เลยคิดว่า ไหนๆ ก็ไม่ได้วาดขาวดำนาน งั้นก็วาดอีกสักรูปละกัน เป็นภาพขาวดำรูปกุหลาบมอญ (ซึ่งก็ไม่คิดว่ามันจะกลายเป็นหน้าปกของเรื่องนี้ได้เหมือนกันค่ะ)
จังหวะที่เราเห็นวันที่ กับคอมเมนต์คนอ่าน เราก็รู้สึกว่า โห มันผ่านมาเกือบ 3 ปีแล้ว ไอ้ความรู้สึกไม่ดีพอ ไม่กล้า มันยังอยู่ตรงนี้อยู่เลย แล้วเมื่อไหร่เราจะดีพอที่จะทำอะไรสักอย่างกันนะ งั้นก็ช่างเถอะ ช่างมัน ก็เลยเริ่มเขียนทั้งๆที่ยังกลัวอยู่ และยังคงรู้สึกว่าไม่มีทางก้าวข้ามภาพแรกที่ทำไว้ได้แน่ๆ แต่อย่างน้อยก็จะได้ไม่เสียดายที่ไม่ได้เริ่มทำค่ะ
แรงบันดาลใจในการออกแบบตัวละครอำดงกับเจ้าพี่จากเรื่องอโยธยาเอยาวดี
เราตั้งใจว่าจะสร้างตัวละครขึ้นมาใหม่เลย เป็นโลกคู่ขนานที่ไม่เกี่ยวกับตัวตนจริง เพียงหยิบยืมและอ้างอิงบางอย่างมาจากพงศาวดารหรือบันทึกต่างๆ เท่านั้น เราไม่ได้อยากเขียนตัวละครที่เป็นวีรบุรุษ แต่เราอยากได้ความเป็นมนุษย์คนหนึ่ง
อย่างอำดง บันทึกบางฉบับบอกว่าเขาเองก็มีมุมโหดอยู่เหมือนกัน แต่สิ่งที่เราเห็นมาตั้งแต่เด็กในสื่อต่างๆ คือภาพฮีโร่วีรบุรุษปราบคนชั่ว และสรุปจบด้วยคอนเซ็ปต์ธรรมะชนะอธรรม เราไม่อยากทำอะไรแบบนั้นออกมาแล้ว
ส่วนเจ้าพี่ ที่ผ่านมาภาพจำของเขาในทัศนะของหลายคนคือฝั่งตัวร้าย แต่ในเรื่องนี้เขาเป็นเหมือนแสงสว่างของตัวเอก ในขณะเดียวกันเขาก็ยังคงเป็นมนุษย์คนหนึ่ง เราแอบหวังเล็กๆ ว่าถ้าสิ่งนี้จะช่วยลดอคติต่อมุมมองเกี่ยวกับประเทศเพื่อนบ้านที่พวกเราโดนปลูกฝังกันมาลงได้สักนิดคงจะดีไม่น้อย
การเล่าเรื่องด้วยวิธีหยิบยืมประวัติศาสตร์ ค่อนข้างเป็นประเด็นละเอียดอ่อน สิ่งไหนในการเล่าที่ค่อนข้างระวังเป็นพิเศษ?
ถึงเราจะไม่เคยคาดหวังว่าสิ่งนี้จะแมส แต่ต่อให้อยู่ในวงแคบ สิ่งที่เราคิดไว้แต่แรกคือเราไม่อยากผลิตซ้ำ Narrative แบบ Royal-Nationalism และไม่อยากสร้างภาพจำที่ส่งต่ออคติเรื่องชาติพันธุ์ ต่อให้ใครจะบอกว่าต้นแบบฝั่งไหนก็ไม่ได้ดีกว่ากันยังไง แต่เรามีพื้นที่ให้กับความเกลียดชังกันมามากมายและเนิ่นนานเกินพอแล้ว
แต่ในขณะเดียวกันเราก็เข้าใจดีถึงข้อจำกัดในประเทศของเรา หากรีบร้อนยิ่งโดนดึงกลับแรง เราพยายามระมัดระวังแต่ก็รู้ว่าท้าทายระบบพอสมควร ถึงจะก้าวไปช้าๆ อย่างหวาดกลัว แต่ก็ถือว่าได้เริ่ม ถึงจะโดนด่าแต่ถ้ามันค่อยๆสร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่างได้ทีละนิดเราก็ยินดี
ด้วยกระแสอโยธยาเอยาวดี ทำให้ผู้อ่านกลับมาสนใจประวัติศาสตร์กันมากขึ้น สิ่งนี้เป็นหนึ่งในความตั้งใจด้วยหรือเปล่า?
ตอนที่เขียนเราก็แอบหวังแบบไม่กล้าคาดหวังเหมือนกันค่ะว่าถ้ามีคนอ่านเรื่องนี้แล้วตามไปศึกษาประวัติศาสตร์ต่อก็ดีสินะ เราก็อยากให้คนเรียนรู้ประวัติศาสตร์แบบนำมาวิเคราะห์ ไม่ใช่เชื่อในทุกสิ่งที่มีคนบอก ตอนที่เรื่องยังไม่แมสมาก แล้วเราเห็นว่ามีคนไปตามอ่านจริง แค่คนเดียวเราก็ดีใจมากแล้วค่ะ การที่มีหลายคนมาแชร์เกร็ดความรู้ในแท็กมันมหัศจรรย์เหนือความคาดหมายมาก เหมือนประวัติศาสตร์ได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง เราอยากให้มันเป็นสิ่งที่จับต้องได้มาโดยตลอด การวางไว้สูงจนแตะต้องไม่ได้ยิ่งทำให้กลายเป็นของต้องห้าม การได้เห็นประวัติศาสตร์กลับมาถูกพูดถึงอีกครั้งในแง่อื่นที่ไม่ใช่การป้อนข้อมูลชุดเดียวให้เชื่อ เป็นสิ่งที่น่ายินดีมากๆ เลยค่ะสำหรับเรา
จากผู้วาดถึงผู้อ่าน อยากพูดคุยกับแฟนๆ
ตอนนี้คนตามเยอะขึ้นจากช่วงแรกๆ มาก เราไม่คิดว่าจากเขียนเล่นมันจะมาได้ไกลขนาดนี้ ต้องขอบคุณจริงๆ ที่คอยสนับสนุนและเป็นกำลังใจให้กันมาตลอด แต่ก็อยากย้ำอีกครั้งว่างานชิ้นนี้เป็นงานอิสระที่เราทำเองคนเดียว วาดตามใจ ไม่ได้ผ่านค่ายไหน ไม่อยากให้คาดหวังขนาดนั้น (เพราะลำพังตัวเองก็กดดันตัวเองอยู่แล้วค่ะ ฮ่าๆ) และหากมีสิ่งไหนผิดพลาดไปต้องขออภัยด้วยจริงๆ
เคยพูดหลายรอบแล้วแต่ก็อยากพูดอีก เรื่องนี้มีขึ้นมาได้เพราะแรงยุของนักอ่านจริงๆ วันนี้เรารู้แล้วว่าเราคิดถูกมากๆ ที่กลับมาเขียนมัน ขอบคุณเสมอที่ติดตาม ขอบคุณสำหรับความรักที่มีให้ และขอบคุณที่ให้อภัยในเรื่องที่บางทีเราก็ไม่ให้อภัยตัวเอง ขอให้ทุกวันของคุณเป็นวันที่ดี
ใครจะคิดกันว่าวันหนึ่ง น้ำหอมกลิ่นกุหลาบมอญ ที่อาจไม่ได้เป็นกลิ่นยอดนิยม กลับขายดีจนขาดตลาด จังหวัดพระนครศรีอยุธยากลายเป็นจุดมุ่งหมายใหม่ในการพักผ่อนหย่อนใจใน 1 วัน ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นจากการ์ตูนเรื่องหนึ่ง ที่ชักชวนให้หลายคนกลับมามองเรื่องราวในอดีตด้วยแง่มุมใหม่กันอีกครั้ง