พฤติกรรมธงแดงแจ๋ แต่ไม่เคยจะเดินออกมาได้ รู้หมดแหละว่าอะไรเป็นอะไร แต่สิ่งที่เหนี่ยวรั้งเอาไว้คือเคมีวาบหวามที่ไม่รู้จะหาจากไหนได้อีก (หรือเปล่านะ)
เอ๋ มันหมายความว่า มีคนยอมตกอยู่ในความสัมพันธ์เฮงซวย เพราะติดใจในรสรักบนเตียงงั้นเหรอ? ตอบตามตรงก็คือ ใช่ แต่พี่ฟังก่อน we listen, we don’t judge!
เมื่ออยู่ในความสัมพันธ์ที่ไม่เวิร์ก หรือเลยเถิดไปถึงขั้นความสัมพันธ์เป็นพิษ คนบางส่วนรู้ดีว่าตัวเองต้องเผชิญอยู่กับอะไร แต่บางครั้งการเดินออกมาก็ไม่ง่ายและทำได้ปุบปับขนาดนั้น เราเลยได้เห็นใครหลายคนต้องทนทุกข์อยู่กับรักขมๆ ทุกข์กับเรื่องไม่สมเหตุสมมผลมากมมาย บ้างติดอยู่แบบนั้น เพราะอยากแก้ไขปัญหาที่ค้างคาใจ บ้างก็อยากแก้ไขปมวัยเด็กโดยไม่รู้ตัว
อย่าว่างั้นงี้เลย ความสัมพันธ์ทั่วไปแบบไม่ธงแดง ตอนตัดสินใจจะแยกทาง เรายังพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า คิดดีแล้วหรือยังนะ มันยังพอมีตรงกลาง ทางแก้ หรือทางให้ไปต่ออยู่บ้างหรือเปล่า ความสัมพันธ์แบบอื่นต่อให้แย่แค่ไหน ก็ไม่แปลกที่เขาจะพยายามหาข้อดีต่างๆ มาถมความเว้าแหว่งในใจให้รู้สึกกับความสัมพันธ์มากขึ้น ซึ่งข้อดีที่ว่านั้น อาจหมายรวมถึงเซ็กซ์ที่ยอดเยี่ยมได้ด้วย แม้จะเหลือเพียงข้อดีข้อเดียว แต่ถ้าชั่งน้ำหนักแล้วยังพอไหว ก็อาจเพียงพอจะเป็นเหตุผลให้ ‘ใครบางคน’ เลือกไปต่อในความสัมพันธ์ทางลูกรังนี้แล้ว
หากตัดอคติเรื่องเซ็กซ์เป็นเรื่องคาวโลกีย์ไป มันก็คือไลฟ์สไตล์อย่างหนึ่งในการใช้ชีวิตร่วมกัน พอเจอคนที่ชอบอะไรเหมือนกัน หรือสามารถเติมเต็มความต้องการด้านนี้ได้ดี ก็นับเป็นข้อดีอีกข้อหนึ่งได้เหมือนกัน ขนาดบางคู่ที่อย่างอื่นเข้ากันได้ แต่เรื่องเซ็กซ์ไม่ตรงกัน ยังนับว่าสิ่งนี้เป็นปัญหาเลยนี่นา แบบนี้แสดงว่าเซ็กซ์เองก็ส่งผลกับความสัมพันธ์ไม่น้อยเลย
แล้วเซ็กซ์มีผลต่อความสัมพันธ์ขนาดไหนกัน ทำไมมันถึงกลายมาเป็นเงื่อนไขใหญ่สำหรับบางคน?
รูปแบบความสัมพันธ์สะท้อนเรื่องบนเตียง
สูดลมหายใจลึกๆ กัน เพราะสิ่งนี้อาจจะต้องเท้าความไปไกลหน่อย แต่รับรองว่าย่อยง่ายไม่ซับซ้อนมากนัก ก่อนอื่นเราขอจูงมือทุกคนมาทำความรู้จักกับ ทฤษฎีรูปแบบความสัมพันธ์ (Attachment Styles) กันอย่างคร่าวๆ กันก่อน เพื่อให้เข้าใจตัวละครในเรื่องนี้มากขึ้น
หากถามเราที่เป็นผู้ใหญ่ในตอนนี้ หรืออยู่ในวัยที่ตัดสินใจอะไรเองได้ เราอาจคิดว่า การคบหาดูใจเกิดขึ้นจากตัวเลือกของเราในวันนี้ แต่ทฤษฎีรูปแบบความสัมพันธ์กลับเชื่อว่า ในตอนเราเป็นเด็กนั้น เรามีปฏิสัมพันธ์กับผู้เลี้ยงดูเราอย่างไร เราก็มีแนวโน้มที่จะเติบโตมามีความสัมพันธ์เชิงโรแมนติกแบบนั้น นั่นหมายความว่า ความสัมพันธ์ในวันนี้ของเราสะท้อนมาจากวัยเด็กในวันวาน
ทฤษฎีรูปแบบความสัมพันธ์ (Attachment Styles) ถูกพัฒนาโดย จอห์น โบวล์บี้ (John Bowlby) จิตแพทย์และนักจิตวิเคราะห์ เขาศึกษาเกี่ยวกับทารกที่ได้รับการตอบสนองจากผู้เลี้ยงดูแตกต่างกัน ก่อนจะพบว่า รูปแบบความผูกพันของทารกที่มีต่อผู้เลี้ยงดูนั้นก็ต่างกันออกไปด้วย จนจำแนกออกมาเป็นรูปแบบความสัมพันธ์ที่แสดงออกผ่านบุคลิกภาพ 4 รูปแบบ ดังนี้
- รูปแบบความสัมพันธ์แบบมั่นคง (Secure Attachment) – มีความกล้าแสดงออกถึงอารมณ์ของตัวเองอย่างชัดเจน รู้ว่าตัวเองรู้สึกอะไร ต้องการอะไร มีความเชื่อใจในความสัมพันธ์ สามารถเป็นที่พึ่งให้อีกฝ่าย และต้องการพึ่งพาด้วยเช่นกัน
- รูปแบบความสัมพันธ์แบบกังวล (Anxious-ambivalent Attachment) – ค่อนข้างมองตัวเองในแง่ลบ แต่มักมองคนอื่นในแง่ดี กังวลว่าตนจะไม่เป็นที่รัก กลัวเขาไม่ตอบสนองต่อความรู้สึกที่ให้ไป เพราะตัวเองไม่ดีพอจะให้รัก วนเป็นงูกินหาง
- รูปแบบความสัมพันธ์แบบหลีกเลี่ยง (Dismissive-Avoidant Attachment) – ไม่ชอบแสดงความรู้สึก หลีกเลี่ยงความใกล้ชิด ผูกมัด จนทำให้รู้สึกไม่ต้องการพึ่งพาผู้อื่น และไม่ให้ผู้อื่นมาพึ่งพาเช่นกัน
- รูปแบบความสัมพันธ์แบบยุ่งเหยิง (Disorganized / Fearful-Avoidant Attachment) – เป็นลูกผสมระหว่างรูปแบบกังวลกับหลีกเลี่ยง เลยทำให้ออกมายุ่งเหยิงสมชื่อเสียหน่อย พวกเขาต้องการความรัก ความใกล้ชิดเช่นเดียวกับรูปแบบความสัมพันธ์แบบกังวล แต่กลับไม่ยอมเปิดใจ เผยความรู้สึกแบบความสัมพันธ์หลีกเลี่ยง จึงมักแสวงหาความรัก แต่สุดท้ายกลับโยนทิ้งไปอย่างไม่ใยดี พวกเขามีแนวโน้มที่จะติดอยู่ในความสัมพันธ์แย่ๆ หรือเป็นคนสร้างความแย่นั้นขึ้นมาเองกับมือ
ทีนี้เรามาดูต่อกันว่า แล้วเซ็กซ์มีอิทธิพลต่อความสัมพันธ์อย่างไรบ้าง ดยูกู บาลาน (Duygu Balan) นักจิตบำบัด ได้แสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า
“รูปแบบความสัมพันธ์ (Attachment Styles) ของเรามีอิทธิพลอย่างมาก ต่อวิธีที่เราจัดการกับความสัมพันธ์ในเชิงรักโรแมนติก และเนื่องจากความใกล้ชิดที่เป็นหัวใจหลักของเรื่องราว มันเลยเชื่อมโยงกันไปถึงการกำหนดรูปแบบทางเพศของเราและเรื่องบนเตียงด้วย”
อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า ความสัมพันธ์ในวันนี้ของเราอาจสะท้อนมาจากวัยเด็กในวันวาน ใครที่เติบโตมาด้วยความมั่นคงทางอารมณ์ อาจเป็นฝั่งความสัมพันธ์แบบมั่นคง มักมีเซ็กซ์ในรูปแบบความสัมพันธ์ที่มั่นคง ตกลงปลงใจ มีความหมายในระยะยาว จึงไม่ค่อยใช้เซ็กซ์เป็นเครื่องมือบงการหรือควบคุมอีกฝ่าย
ในทางตรงข้าม ฝั่งที่ไม่มั่นคงทางอารมณ์ อย่างรูปแบบความสัมพันธ์แบบกังวล หลีกเลี่ยง และยุ่งเหยิง มีแนวโน้มที่จะใช้เซ็กซ์เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกปฎิเสธ จนทำให้กิจกรรมนี้มีเบื้องหลังเป็นความกลัว ความไม่ไว้ใจ ในทางตรงกันข้ามเอง ก็มีแนวโน้มจะใช้เซ็กซ์เพื่อเป็นฝ่ายควบคุม บงการเองได้เช่นกัน สิ่งนี้จึงส่งผลไปถึงความสัมพันธ์ ทำให้พวกเขาเลือกใช้เซ็กซ์ในการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ทางอารมณ์นั่นเอง
แต่เดี๋ยว คนที่เขาเซ็กซ์ดี เคมีเต็มร้อย พวกเขาก็มีอยู่จริงๆ นะ จะบอกว่าการมองเซ็กซ์เป็นเรื่องสำคัญในความสัมพันธ์ เพียงเพราะฉันเป็นคนไม่มั่นคงทางอารมณ์งั้นเหรอ?
ลองใจเย็นๆ ก่อนพี่ พี่ฟังก่อน เราเข้าใจดีว่าเซ็กซ์ดีจนติดใจนั้นมีอยู่จริง แต่ที่อธิบายมายืดยาวนั้น เราแค่อยากชวนมาหาคำตอบในเชิงจิตวิทยาว่า ทำไมสำหรับบางคนเรื่องเซ็กซ์ถึงเป็นเรื่องสำคัญ ถึงขนาดที่ว่ามันเป็นข้อดีอยู่ข้อเดียวก็ยังเลือกไปต่อกับความสัมพันธ์ได้ เพื่อให้เห็นภาพว่าเซ็กซ์ส่งอิทธิพลต่อความสัมพันธ์ขนาดไหนแค่นั้นเอง
พอมองย้อนกลับไป คนที่ไม่มั่นคงทางอารมณ์และอยู่ในความสัมพันธ์เป็นพิษ มักจะพยายามแก้ไขปมที่เคยเกิดขึ้น (ทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว) จนในบางครั้งเผลอใช้เซ็กซ์ในการแก้ปัญหาไปด้วย และกลายเป็นกับดักบังตาทำให้มองว่า เครื่องมือต่อรองเดียวอย่างเซ็กซ์เป็นสิ่งสุดท้ายที่เหลืออยู่ เราจึงจะต้องยึดมั่นไว้ให้ได้เหมือนขอนไม้กลางทะเล นี่เลยทำให้เรารู้สึกว่าสิ่งนี้มันส่งผลกับความสัมพันธ์เอามากๆ ทั้งที่มันอาจไม่ได้ดีขนาดนั้นก็ได้
บางครั้งมันก็อาจไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น อาจเป็นเพียงการชั่งน้ำหนักในใจ เรากลัวจะไปหาเซ็กซ์ที่ตรงใจกับเราแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว เราเลยยอมตกอยู่ในความสัมพันธ์ที่เสียเปรียบไปบ้าง ข้อเสียเยอะบ้าง เพื่อมีความสุขกับสิ่งนี้
แต่ถ้าเริ่มมีกลิ่นแปลกๆ เริ่มเอะใจว่าสิ่งนี้มันไม่ปกติขึ้นมา เราจะเริ่มพิจารณาว่าควรไปต่อหรือพอแค่นี้จากอะไรได้บ้าง?
- ดีจริงหรือจกตา – อย่างที่ร่ายยาวไปก่อนหน้า ว่าบางครั้งเราก็อาจถูกความสัมพันธ์จกตา แค่เพราะไม่อยากสูญเสียเขาไป แต่ลองกลับมาถามตัวเองดีๆ ก่อน ไอ้ที่ไม่ยอมไปไหนสักที ติดใจเพราะเซ็กซ์มันดีจริง กินอร่อย หรือแค่เราไม่อยากเสียใจ ไม่อยากเสียเขาไปเฉยๆ
- ถ้าไม่มีเรื่องนี้จะเหลือเรื่องไหน – หากตัดเรื่องเซ็กซ์ออกไป เขาไม่เหลือข้อดีอะไรเลยหรือเปล่า ถ้ามันยังพอมีข้อดีอื่นๆ ที่เราคิดว่าเราไปต่อกับความสัมพันธ์นี้ได้ ก็เป็นเรื่องเข้าใจได้เช่นกัน แต่ถ้ามันเหลือเพียงเซ็กซ์แสนแซบอย่างเดียว มันจะมีความหมายแค่ไหนถ้าความรู้สึกของเราพังทลายไม่เหลือชิ้นดี
- ลดระดับความสัมพันธ์ – ถ้าสิ่งที่เราติดอกติดใจคือเซ็กซ์จริงๆ เรากลัวว่าวันข้างหน้าจะไม่เจอคนที่เคมีตรงกันแบบนี้แล้ว โดยไม่เกี่ยวกับความสัมพันธ์เลย งั้นลองพิจารณาลดระดับความสัมพันธ์ลงให้เหลือเพียง Friend With Benefits ก็ได้ เจอกันเฉพาะตอนที่ต้องการเท่านั้น ไม่ต้องเอาใจไปผูกกับความสัมพันธ์พังๆ แบบนั้นให้เจ็บเล่นๆ อีก แต่ก็ต้องมั่นใจว่าเราใจแข็งพอที่จะไม่ย้อนกลับไปตกหลุมเดิมอีกครั้ง
- ของแบบนี้มันพัฒนากันได้ – ปัญหาหลักของคนที่ติดอยู่ในความสัมพันธ์แย่ๆ เพื่อเซ็กซ์แสนดี เพราะกลัวไม่เจอคนที่เข้าขากันดีแบบนี้อีกแล้ว เราเข้าใจว่าความกลัวนั้นเกิดขึ้นได้ แต่ใช่ว่าเราจะต้องยอมแลกสุขภาพจิตไปกับความสัมพันธ์แย่ๆ นี่นะ ถ้ารู้ตัวแล้วว่าไม่ไหวจริงๆ ตอนที่เราไปเจอคนใหม่และต่อให้รู้สึกว่าเซ็กซ์ยังไม่คลิกเท่าไหร่ ก็ใช่ว่ามันจะไม่คลิกตลอดไป เราสามารถเปิดประสบการณ์ สำรวจความชอบของกันและกัน ปรับจูนได้ไม่ต่างจากการคบหากันเลย การได้มีเซ็กซ์กับคนที่มีความสัมพันธ์เป็นเลิศ ก็อาจเติมเต็มทางใจได้ดีในอีกแง่หนึ่งเหมือนกัน
เซ็กซ์ดีจนติดใจมีอยู่จริง เซ็กซ์ดีในความสัมพันธ์ที่ดีก็มีอยู่จริงเหมือนกัน ไม่จำเป็นว่าเราต้องทำสัญญาซาตาน มีความสุขชั่วคราว แต่ปวดร้าวแสนนาน ลองให้โอกาสตัวเองได้มีความสุขชัวร์ๆ จากความสัมพันธ์ที่ดี แล้วค่อยไปพัฒนาเรื่องเซ็กซ์ด้วยกันก็ยังไม่สายหรอกน้า
อ้างอิงจาก