ภาพประชาชนบุกรัฐสภา การลงคะแนนหยุดชะงัก นักการเมืองต้องอพยพออก กองกำลังต้องเข้าจัดการสถานการณ์ นี่คือความจลาจลที่กำลังเกิดขึ้นในสหรัฐฯ ที่ต่อเนื่องมาจากความไม่พอใจ และไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง
สหรัฐฯ มีธรรมเนียมการเปลี่ยนผ่านอำนาจจากประธานาธิบดีคนเก่า ไปสู่คนใหม่อย่างประชาธิปไตยมาหลายร้อยปี แต่จากการจลาจลที่เพิ่งจะเกิดขึ้นหน้ารัฐสภาสหรัฐฯ The MATTER ขอพาทุกคนไปสำรวจเหตุการณ์ว่า เกิดอะไรขึ้นกับจลาจลล้อมและบุกรัฐสภาสหรัฐฯ ในวันรับรองตำแหน่งประธานาธิบดี ทรัมป์ได้ออกมากล่าวถึงเหตุการณ์อย่างไร และตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง ?
1.หลังจากผ่านการเลือกตั้งไป ผู้แทนในรัฐสภาสหรัฐฯ จะทำการนับคะแนนรับรองตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ จากผลคะแนนของคณะผู้เลือกตั้ง ที่ได้ทำการลงคะแนนเสียงเลือกไบเดน ตั้งแต่ช่วงวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ.2020 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ มีคะแนนคณะผู้เลือกตั้งเบื้องต้น 306 จาก 532 คะแนน ที่ลงเสียงเลือกไบเดน ทำให้เป็นที่แน่นอนว่าไบเดนจะกลายเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ อย่างแน่นอน
2. อย่างไรก็ตาม ทางด้านของ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ได้เคยออกมาแถลงว่า เขาจะยอมรับผลการเลือกตั้งต่อเมื่อ คณะผู้เลือกตั้งได้ทำการลงคะแนนเสียงเลือกให้ไบเดนชนะ แต่ถึงแม้ผลจะออกมาตามที่ได้กล่าวไปในข้างต้น ทรัมป์กลับไม่เคยออกมาพูดอย่างชัดเจนว่าเขาแพ้ และยังคงโจมตีการเลือกตั้งครั้งนี้ว่า “มีการโกงเกิดขึ้น” อยู่เรื่อยๆ
3. ทรัมป์ยังคงโจมตีการเลือกตั้งมาอย่างสม่ำเสมอ จนกระทั่งเข้าถึงวันที่ 6 มกราคม ค.ศ.2021 ซึ่งก็คือวันที่รัฐสภาสหรัฐฯ จะนำผลคะแนนของคณะผู้เลือกตั้งมานับ เพื่อทำการรับรองผล และประกาศรับรองประธานาธิบดีคนใหม่ ทำให้สหรัฐฯ เข้าสู่การรับรองไบเดน เป็นประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ
4. พันธมิตรหลัก ที่ทรัมป์คาดหวังว่าจะช่วยให้การรับรองผลการเลือกตั้งไม่เกิดขึ้น อย่าง ไมค์ เพนซ์ (Mike Pence) รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งมีตำแหน่งเป็นประธานวุฒิสภา ได้ออกแถลงการณ์ว่า เขาจะดำเนินการทุกอย่างให้ “เป็นไปตามหลักการแห่งรัฐธรรมนูญ” จนสื่อต่างประเทศหลายสำนักตีความตรงกันว่า เพนซ์ไม่สามารถเป็นที่พึ่งของทรัมป์ในการขัดขวางผลการเลือกตั้งได้อีกแล้ว
5. มีรายงานว่า มวลชนผู้สนับสนุนทรัมป์ ได้เดินทางมารวมตัวกันรอบรัฐสภาของสหรัฐฯ สถานที่ที่การรับรองประธานาธิบดีคนใหม่กำลังดำเนินการอยู่ CNN ระบุว่า สถานการณ์การประท้วงของมวลชนฝ่ายทรัมป์เริ่มมีความรุนแรงมากขึ้น จนเจ้าหน้าที่จำเป็นจะต้องทำการปิดล้อมรัฐสภาเอาไว้เพื่อความปลอดภัย
6. หลังจากนั้นได้ไม่นาน มวลชนผู้สนับสนุนทรัมป์นับร้อยได้ทำการบุกข้ามสิ่งกีดขวาง และเดินเท้าเข้าสู่รัฐสภาสหรัฐฯ ได้สำเร็จ มีรายงานว่ามีการใช้ระเบิดแฟลช และสเปรย์พริกไทย เพื่อสกัดการบุกรุกของผู้ประท้วง ในขณะที่กลุ่มผุ้ประท้วงตะโกนด่าเจ้าหน้าที่ว่าเป็น “พวกกบฏ” ก่อนจะโบกธงชาติสหรัฐฯ และธงที่เขียนชื่อทรัมป์เอาไว้
7. สถานการณ์เริ่มบานปลายมากขึ้น เมื่อรัฐสภาตัดสินใจ พักการนับคะแนนคณะผู้เลือกตั้งลงของผู้แทนในรัฐสภาลงชั่วคราว เพื่อความปลอดภัยของสมาชิกรัฐสภา มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ได้ทำการแจกหน้ากากกันก๊าซให้แก่ผู้แทนรัฐสภา และทำการอพยพทุกคน รวมถึงว่าที่รองประธานาธิบดี คามาลา แฮร์ริส (Kamala Harris) ไปยังจุดปลอดภัย เพื่อเลี่ยงการบุกรุกของกลุ่มมวลชน โดยมีรายงานว่า ทุกคนปลอดภัยดี
8. เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าวปะทุออกมาอย่างกว้างขวาง ต่อการกระทำของมวลชน ไม่เว้นแม้แต่คำวิจารณ์จากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากอิลลินอยส์ฝั่งรีพับลิกัน ที่ทวิตข้อความว่า “นี่คือความพยายามในการทำรัฐประหาร” เช่นเดียวกันกับ มิตต์ รอมนีย์ (Mitt Romney) อดีตผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ของบารัค โอบามา (Barack Obama) และสมาชิกวุฒิสภาจากยูทาห์ฝั่งรีพับลิกัน ที่เรียกเหตุการณ์ดังกล่าวว่า “เป็นการก่อกบฏ”
9. มวลชนผู้สนับสนุนทรัมป์บุกเข้ามาถึงหน้าประตูเข้าห้องประชุมรัฐสภา โดยมีความพยายามในการพังประตูเข้ามา ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะใช้ปืนเล็งไปยังประตูที่ถูกทำลาย เพื่อขู่ไม่ให้ผู้ชุมนุมบุกเข้ามาได้ อย่างไรก็ตาม ความพยายามในการสกัดกั้นมวลชนยังคงไม่เป็นผล เพราะมวลชนสามารถบุกเข้ามายังห้องประชุมได้ ก่อนที่จะมีผู้ชุมนุมขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ประธานรัฐสภา รวมไปถึงห้องทำงานของแนนซี เพโลซี (Nancy Pelosi) ประธานรัฐสภาสหรัฐฯ จากฝั่งเดโมแครต ที่เพิ่งจะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวอีกสมัย
10.ว่าที่ประธานาธิบดีอย่างไบเดน ได้ออกมาแถลงต่อสถานการณ์ดังกล่าว เพื่อเรียกร้องให้ทรัมป์ทำการแถลงออกโทรทัศน์ ห้ามไม่ให้มวลชนผู้สนับสนุนตนกระทำการอันขัดต่อรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ ก่อนที่ไบเดนจะเรียกการกระทำของผู้ชุมนุมในครั้งนี้ว่า “นี่ไม่ใช่ความขัดแย้ง มันคือความผิดปกติ มันคือความวุ่นวาย มันคือการปลุกระดม และมันจะต้องหยุดลงตรงนี้ ผมขอเรียกร้องให้กลุ่มมวลชนถอยกลับออกไป และเปิดทางให้ประชาธิปไตยได้เดินหน้าต่อ”
11. หลังจากนั้นได้ไม่นาน ทรัมป์ได้ออกมาแถลงผ่านวิดีโอเรียกร้องให้มวลชนกลับบ้าน แต่เขายังคงเรียกการเลือกตั้งที่ผ่านมาว่ามีการโกงเกิดขึ้น “นี่คือเหตุการณ์และสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการที่ผลคะแนนเลือกตั้งแบบท่วมท้นถูกโกงไปจากผู้รักชาติ” คือข้อความที่ทรัมป์ยังคงเชื่อว่าการเลือกตั้งในครั้งนี้มีการโกงกัน ก่อนที่เขาจะกล่าวเสริมว่า “กลับบ้านด้วยความรักและความสงบ จำวันนี้เอาไว้ตลอดไป… เรารักคุณ พวกคุณพิเศษมาก ผมรู้ว่าคุณรู้สึกอย่างไร” หลังจากนั้นไม่นาน ทวิตเตอร์ได้ทำการบล็อกบัญชีผู้ใช้ของทรัมป์เป็นเวลา 12 ชั่วโมง ด้วยสาเหตุว่า เพื่อเป็นการลดการยั่วยุลง
12. รายงานข่าวเพิ่มเติมจากสำนักงานตำรวจว่า มีหญิงที่ยังไม่ถูกเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวว่าเป็นใคร ถูกยิงด้วยกระสุนปืนเข้าที่หน้าอก ระหว่างเหตุการณ์การบุกรุกรัฐสภาของมวลชนผู้ให้การสนับสนุนทรัมป์ โดยก่อนหน้านี้ มีภาพของหญิงรายดังกล่าวกำลังปีนขอบผนังระหว่างทางเดินสู่ประตูในรัฐสภา ก่อนจะมีเสียงปืนดังขึ้น เธอจะถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล และเสียชีวิตในเวลาต่อมา ทั้งนี้ มีรายงานเพิ่มเติมว่า มีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 3 รายนอกรัฐสภา รวมมีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์จลาจลดังกล่าว 4 ราย
13. หลังจากที่สถานการณ์ทุกอย่างคลี่คลายลง ผู้แทนรัฐสภาของสหรัฐฯ จึงได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้งในห้องประชุมรัฐสภา เพื่อทำให้การนับคะแนนสามารถดำเนินการต่อไปได้ โดยการนับคะแนนคณะผู้เลือกตั้ง โดยผู้แทนรัฐสภาจะทำการนับคะแนนเพื่อประกาศผู้ชนะ ที่ได้คะแนนมากกว่าครึ่งหนึ่งหรือ 270 คะแนน ซึ่งไบเดนมีคะแนนที่รอการรับรองอยู่แล้ว 306 คะแนน
การเปลี่ยนผ่านอำนาจประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะเป็นอย่างไรต่อไป ทรัมป์จะยอมรับผล และให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ และไบเดน ในฐานะประธานาธิบดีคนต่อไป จะรับมือกับสถานการณ์ความขัดแย้งเช่นไร ? เราคงต้องติดตามการเมืองสหรัฐฯ กันต่อไป
อ้างอิงจาก
https://www.nytimes.com/live/2021/01/06/us/electoral-vote
https://www.bbc.com/news/live/election-us-2020-55558355
https://www.bbc.com/news/technology-55569604
https://www.nytimes.com/interactive/2020/12/14/us/elections/electoral-college-results.html
#Recap #TheMATTER