สถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ที่ทั่วโลกกำลังเจอระลอกใหม่ ไปพร้อมๆ กับความหวังของวัคซีน ที่หลายประเทศเริ่มกระจายฉีดให้กับประชาชนในประเทศ โดยหวังว่าจะสามารถยุติการระบาดในประเทศได้ หลังจากประชากรได้รับภูมิคุ้มกันแล้ว
ท่ามกลางการเร่งผลิต และฉีดวัคซีนในหลายประเทศทั่วโลก มีประเทศหนึ่งที่ถือได้ว่า เป็นประเทศที่กระจายฉีดวัคซีนให้ประชากรได้รวดเร็วที่สุด นั่นคือ ‘อิสราเอล’ ซึ่งตั้งแต่เริ่มฉีดในวันแรก (14 ธันวา 2563) โดยมีเบนยามิน เนธันยาฮู นายกฯ ของประเทศเป็นผู้รับวัคซีนคนแรก โดยจนถึงวันนี้ อิสราเอลสามารถกระจายฉีดวัคซีนให้กับประชาชน 1.9 ล้านคน หรือเทียบเป็น 20% ของประเทศแล้ว ในเวลาไม่ถึง 1 เดือน
ความรวดเร็วในการกระจายวัคซีน ทำให้เกิดเกิดเป็นคำถามที่น่าสนใจว่า อะไรอยู่เบื้องหลังความสำเร็จในกระจายวัคซีนของประเทศนี้ พวกเขามีการจัดการ เตรียมงานอย่างไร และทำอย่างไรถึงเข้าถึงวัคซีนได้เพียงพอต่อคนทั้งประเทศ
“เป้าหมายหลักของโครงการฉีดวัคซีนของเรา คือการฉีดวัคซีนให้กับผู้คนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยเร็วที่สุด” โบอาซ เลฟ คณะกรรมการที่ปรึกษสำหรับการควบคุมโรค COVID-19 และวัคซีน ของสาธารณสุขอิสราเอลกล่าว โดยประเทศนี้ มีแผนที่จริงจังเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนโดยรัฐบาลยังได้ประกาศถึงความสำคัญของเรื่องนี้ ถึงขั้นเป็นแคมเปญ และตั้งเป้าหมายว่า ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศต้องได้รับวัคซีนภายในเดือนเมษายน ซึ่งเบื้องหลังของความสำเร็จในการแจกจ่ายวัคซีนอย่างรวดเร็วของอิสราเอล อาจสรุปได้เป็น 3 ประเด็นใหญ่ๆ ดังนี้
1) เตรียมการให้พร้อม ทำข้อตกลงให้ดี
อิสราเอล ได้สั่งจองวัคซีนจากทั้ง Pfizer-Biotech, Moderna และ Oxford-AstraZeneca ซึ่งวัคซีนจาก Pfizer-Biotech เป็นเจ้าแรกที่ส่งมาถึงอิสราเอล และเริ่มกระจายฉีดกับประชาชน ซึ่งการที่อิสราเอลได้รับวัคซีนเป็นประเทศแรกๆ หนึ่งในนั้น เป็นเพราะรัฐบาลได้เตรียมความพร้อมในการจัดหา รวมไปถึงการเสนอข้อตกลงแลกเปลี่ยนให้กับบริษัทผู้ผลิตวัคซีน
โดยนายกฯ เนธันยาฮู ได้เปิดเผยว่า หนึ่งในข้อตกลงกับบริษัท Pfizer คือการแลกเปลี่ยนข้อมูลของประชาชนสำหรับวัคซีน 10 ล้านโดส ซึ่งรวมถึงสัญญาว่าจะจัดส่ง 400,000-700,000 โดสทุกสัปดาห์ ภายใต้ข้อตกลงนี้ อิสราเอลจะให้รายละเอียดทั้งอายุ เพศ ประวัติทางการแพทย์ รวมถึงผลข้างเคียง และประสิทธิภาพของวัคซีน (แต่ไม่เปิดเผย และระบุตัวตนของประชาชน เพื่อความเป็นส่วนตัว) ซึ่งข้อมูลนี้จะถูกส่งให้องค์การอนามัยโลกด้วย ในการศึกษาต่อไป
ยูลิ อีเดลชไตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของอิสราเอล ให้สัมภาษณ์ว่า รัฐบาลได้พยายามตกลงกับบริษัทยา เพื่อให้อิสราเอลเป็นประเทศแรกๆ ที่ได้รับวัคซีน เพื่อที่พวกเราจะได้รู้วิธีการจัดการในระยะสั้นทั้ง “พวกเราเตรียมพร้อมตั้งแต่แรก เซ็นสัญญาตั้งแต่ต้นๆ และบอกกับทางบริษัทที่ผลิตยาว่า พวกเขาจะได้เห็นผลลัพธ์ในขั้นต้น ซึ่งเป็นเหมือนสถานการณ์ที่ได้เปรียบทั้งคู่ (win-win situation ”
นอกจากนี้ ยังมีการเปิดเผยว่า นายกฯ เนธันยาฮู ได้พยายามสานความสัมพันธ์ กับผู้บริหารระดับสูงของทั้ง Pfizer และ Moderna และเสนอความเป็นมิตรที่ดีของอิสราเอลกับบริษัทเหล่านี้ แต่ถึงอย่างนั้น ก็คาดการณ์ว่า อิสราเอลซื้อวัคซีนมาในราคาที่สูงกว่าประเทศอื่นๆ โดยอาจสูงถึง 47 ดอลล่าร์สหรัฐฯ ต่อคน
2) วางแผนโลจิสติกส์กระจายวัคซีนในประเทศ และจัดลำดับประชาชนที่ต้องได้รับวัคซีน
ไม่เพียงแค่ความเร็ว ที่ประชากรในประเทศถึง 20% ได้รับวัคซีนแล้ว แต่ชาวอิสราเอลที่อายุมากกว่า 60 ปี ที่เป็นกลุ่มแรกที่ต้องได้รับวัคซีน ก็ได้รับวัคซีนถึง 72% แล้ว ซึ่งอีกประการนึงที่ทำให้ประเทศนี้ประสบความสำเร็จคือการวางแผนจัดการคน และการกระจายวัคซีนไปทั่วประเทศ
หลังจากวัคซีนส่งมาถึงอิสราเอลแล้ว รัฐบาลยังต้องจัดการเรื่องการจัดเก็บ ซึ่งวัคซีนแต่ละชนิดมีการเก็บที่แตกต่างกัน ไปถึงการส่งวัคซีนไปทั่วประเทศ ซึ่งอิสราเอล ก็ได้ให้หน่วยงานโลจิสติกส์จัดการในเรื่องนี้ โดยมีการเก็บวัคซีนของ Pfizer ที่ต้องเก็บแบบเทคนิคพิเศษ ในอุณหภูมิลบ 70 องศาเซลเซียส ไว้ในตู่แช่แข็งใต้ดิน ใกล้กับสนามบินนานาชาติ ซึ่งบรรจุไว้เป็นชุดละ 100 เข็ม พร้อมจัดส่งทั่วประเทศ
ทั้งประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ จะได้รับวัคซีนผ่านทางโรงพยาบาลของรัฐ และศูนย์ฉีดวัคซีน โดย โบอาซ เลฟ ยังระบุอีกว่า รัฐบาลได้มีการวางแผนอย่างละเอียด และมีการจัดทำระบบโลจิสติกส์ รวมไปถึงการจัดลำดับของประชากรที่จะต้องได้รับวัคซีน โดยรัฐได้มีการจัดคิวอย่างเป็นระเบียบว่าใครจะเป็นผู้ที่ได้รับก่อน และหลังตามความเสี่ยงด้วย
3) ประเทศเล็ก และระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็ง
นอกจากการวางแผนในการจัดหา และการฉีดที่ดีแล้ว อิสราเอลยังถือว่ามีข้อได้เปรียบ และแตกต่างกว่าประเทศอื่นๆ คือเป็นประเทศขนาดเล็ก ที่มีจำนวนประชากรไม่มาก แต่มีจุดแข็งอย่างนึงที่สำคัญ คือ ระบบสาธารณสุขที่แข็งแรง
อิสราเอลมีระบบการดูแลด้านสาธารณสุขที่กำหนดให้ทุกคนต้องสังกัดอยู่ใน 1 ใน 4 องค์กรด้านการดูแลสุขภาพ ซึ่งวัคซีนเหล่านี้ ก็ถูกแจกจ่ายให้กับองค์กรเหล่านี้ ที่จะนำไปกระจายให้กับสมาชิกอย่างรวดเร็ว โดยอิสราเอลเคยทำสถิติ ฉีดวัคซีนให้ประชาชนมากถึง 150,000 คน ใน 1 วัน และหากวัคซีนที่โรงพยาบาล และคลินิกได้รับในวันนั้น ฉีดให้บุคคลตามลำดับครบแล้ว ในช่วงท้ายของวัน ก็ยังมีการฉีดให้กับคนกลุ่มอื่นๆ ที่อยู่นอกกลุ่มที่ต้องได้รับวัคซีน เพื่อป้องกันไม่ให้สิ้นเปลืองวัคซีนด้วย
ทั้งระบบสาธารณสุขของประเทศยังเชื่อมโยงกับระบบดิจิทัล ซึ่งทุกคนที่ได้รับวัคซีนแล้ว ก็จะถูกขึ้นทะเบียนโดยกระทรวงสาธารณสุขด้วย โดยความเข้มแข็ง และการจัดระบบระเบียบฐานข้อมูล ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้การฉีดวัคซีนในอิสราเอล เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ และรวดเร็ว
จนถึงปัจจุบัน อิสราเอลเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสะสมมากถึง 520,060 ราย และมีผู้เสียชีวิต 3,817 ราย ซึ่งถือว่าสูงมากสำหรับประเทศที่มีประชากรเพียงแค่ 9 ล้านกว่าคน แต่สำหรับความสำเร็จ และความเร็วในการฉีดวัคซีนนี้ ก็ทำให้คาดว่าอิสราเอลจะฟื้นฟูประเทศได้เร็วกว่าประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ที่ธนาคารกลางอิสราเอล มองว่าเศรษฐกิจของประเทศจะโตขึ้นถึง 6.3% ในปีนี้ และอีก 5.8% ในปี 2022
แต่ถึงอย่างนั้น อิสราเอลก็ถูกตั้งคำถาม และวิพากษ์วิจารณ์ถึงประเด็นสิทธิมนุษยชน เนื่องจากความล้มเหลวในการแจกจ่ายวัคซีนให้ชาวปาเลสไตน์ในกาซา และเวสต์แบงค์ แม้ว่าปาเลสไตน์จะไม่ได้ขอความช่วยเหลืออย่างเป็นทางการจากอิสราเอลด้วย