“แค่ใช้ชีวิตก็ยุ่งจะตายอยู่แล้ว จะให้ไปทำอะไรอีก”
หากพูดถึงหนังไทยที่เดินทางไปถ่ายทำไกลถึงทวีปยุโรป เชื่อว่าต้องมีชื่อของ หนีตามกาลิเลโอ ผุดขึ้นมาในความทรงจำของใครหลายคน ภาพของสองสาวเพื่อนซี้ที่คนหนึ่งสอบตก อีกคนอกหัก จึงตัดสินใจหนีทั้งความรักและการเรียนไปทำงาน ค้นหาตัวเอง และลองใช้ชีวิตที่อังกฤษ ฝรั่งเศส และอิตาลียังคงชัดเจนเหมือนใหม่ ทั้งที่จริงๆ ในปี 2024 นี้ ครบรอบ 15 ปีที่หนังเรื่องนี้เข้าฉายแล้ว

แต่แม้เวลาจะล่วงเลยไป หลายคนก็ยังนึกถึงฉากชูป้ายที่แสนอบอุ่นใจกลางกรุงปารีส คิดถึงความน่ารักของ 2 นักแสดงนำอย่าง ต่าย—ชุติมา ทีปะนาถ กับ เต้ย—จรินทร์พร จุนเกียรติ อยู่เสมอ
ผลงานในฐานะผู้กำกับเต็มตัวเรื่องที่ 2 ของ ต้น—นิธิวัฒน์ ธราธร ไม่เพียงฉายภาพโลกกว้างผ่านการพาตัวละครไปสัมผัสความแตกต่างทางวัฒนธรรม ไล่ตั้งแต่หอนาฬิกาบิ๊กเบน สโตนเฮนจ์ หอไอเฟล เรือกอนโดลาแห่งเวนิส จนมาจบที่หอเอนเมืองปิซา แต่ยังนำอินไซด์ของวัยรุ่นไทยมาแผ่หลาบนหน้าจอ เป็นอินไซด์แห่งช่วงวัยที่เต็มไปด้วยความสับสน ดิ้นรนเพื่อค้นหาตัวเอง อยากจะเข้มแข็งแต่ก็ยังเปราะบาง…
ในวาระครบรอบ 15 ปีของ หนีตามกาลิเลโอ เราอยากชวนทุกคนย้อนเวลากลับไปชมภาพความประทับใจในหนังเรื่องนี้กันอีกครั้ง กลับไปรื้อฟื้นบทเรียนบางอย่างในหนังที่บอกกับเราว่า การเดินทางไกลไม่เพียงช่วยให้เราเข้าใจโลกกว้าง แต่ยังช่วยให้เราค้นเจอตัวเองในแง่มุมต่างๆ ทั้งความชอบ ความฝัน ตลอดจนความสำคัญของคนรอบตัว
*บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของหนีตามกาลิเลโอ*
อิสรภาพครั้งแรก
“ตอนเรียนจบใหม่ๆ เราก็มีความคิดว่าอยากไปเรียนต่อเมืองนอก แต่สำหรับผม การเรียนไม่ใช่ประเด็นเท่าไหร่ มันคือการไปใช้ชีวิตซะมากกว่า เราก็เลยอยากจะทำหนังเรื่องนี้ขึ้นมา มันเป็นความฝันของวัยรุ่น ใครๆ ก็อยากไป”
ต้น—นิธิวัฒน์ ธราธร เผยแรงบันดาลใจในการก่อร่างสร้างหนังเรื่องที่ 2 หลังจากประสบความสำเร็จในการพาผู้ชมไปสำรวจโรงเรียนดนตรีที่วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ใน Seasons Change เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย คราวนี้ เขาอยากพาคนดูไปลองใช้ชีวิตในดินแดนที่ไกลกว่านั้น ผ่านสายตาของตัวละครที่โตกว่านั้น
ใน Seasons Change ตัวละครมัธยมปลายไปเรียนกันที่นครปฐม ตามหาความชอบด้วยเครื่องดนตรี และเรียนรู้ที่จะรักและอกหักเป็นครั้งแรก
ขณะที่ใน หนีตามกาลิเลโอ นักศึกษาอย่างเชอร์รี่และนุ่น ผ่านการเรียนในคณะที่ตัวเองเลือกมาพอสมควร มีประสบการณ์ด้านความสัมพันธ์ที่จริงจังกว่าในรั้วโรงเรียน แม้จะใหญ่ไม่เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว แต่ก็คงพูดได้ว่า พวกเธอโตพอที่จะออกไปลองใช้ชีวิตบทใหม่ในทวีปยุโรป
หากเดินทางไปในวัยทำงาน การไปอยู่ต่างประเทศอาจเป็นแค่อีกหน้าหนึ่งของการใช้ชีวิต แต่เพราะเชอร์รี่กับนุ่นหอบข้าวหอบของลองไปตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ นี่จึงเทียบได้กับครั้งแรกที่พวกเธอจะได้เป็นเจ้าของชีวิตตัวเองอย่างแท้จริง ได้ลองใช้ชีวิตอย่างอิสระแบบที่ไม่มีใครตีกรอบล้อมกำแพง
หนังอาจไม่ได้บอกกับเราอย่างตรงไปตรงมา แต่ผู้ชมน่าจะทึกทักเอาเองได้ว่า งานร้านอาหารไทยในลอนดอน ประเทศอังกฤษคือการทำงานครั้งแรกของทั้งเชอร์รี่และนุ่น เป็นเงินก้อนแรกที่เธอหามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง
ตอนอาศัยอยู่กับครอบครัวที่ไทย พวกเธอทั้งคู่อาจจะเคยทำงานบ้านมาบ้าง แต่คงไม่เคยทำมากถึงขนาดต้องปัดกวาดเช็ดถู ซักผ้า และทำอาหารเองตั้งแต่ตื่นนอนยันมืดค่ำ ในทางหนึ่งมันคืออิสระทุกตารางนิ้วแบบที่พวกเธอมองหา แต่อีกมุม มันก็เป็นความเหนื่อยล้าที่พวกเธอไม่เคยต้องเผชิญด้วยตัวเองมาก่อน
เลยอาจเรียกได้เต็มปากว่า นี่คือการลองใช้ชีวิตด้วยตัวเองอย่างแท้จริง…

ชีวิตอีกแบบ
“ซื้อเอาไม่ง่ายกว่าเหรอ” เชอร์รี่ถามเมื่อเห็นพิสิทธิ์เลือกที่จะตกปลาแทนที่จะไปหาซื้อ
“ง่ายกว่า แต่มันได้แค่กินไง” พิสิทธิ์ตอบกลับ ยังคงนั่งตกปลาสบายใจเฉิบ
“แล้วตกเองได้อะไรอะ” เชอร์รี่ยังสงสัย
“ได้ตกไง” หนุ่มไทยพูดเรียบๆ
พิสิทธิ์คือหนุ่มไทยในกรุงปารีสที่นุ่นกับเชอร์รี่ได้รู้จักโดยบังเอิญ และเขานี่เองที่เชื้อเชิญทั้งคู่ไปสัมผัสวิถีชีวิตอีกหลากหลายรูปแบบที่พวกเธอไม่มีทางจินตนาการได้ตอนอยู่ไทย
พิสิทธิ์และเพื่อนต่างชาติกลุ่มหนึ่งอาศัยอยู่ในอาคารร้างภายใต้การควบคุมของรัฐบาลฝรั่งเศส สถานที่ซึ่งไม่มีทั้งไฟฟ้าและน้ำประปา พูดง่ายๆ คือพวกเขาลักลอบอาศัย และต้องคอยจ่ายค่าปรับไปเป็นงวดๆ โดยค่าปรับก็แสนแพงในระดับที่เอาไปเช่าบ้านดีๆ อยู่ได้ แต่กระนั้น พิสิทธิ์ก็ยืนกรานว่าเขาและพรรคพวกอยากอยู่ที่นี่มากกว่า
ตัวละครพิสิทธิ์ที่รับบทโดย เรย์ แมคโดนัลด์ ช่วยให้ผู้ชมได้ตระหนักว่า มนุษย์แต่ละคน แต่ละกลุ่ม แต่ละชาติ มีความต้องการ ความชอบ และมุมมองที่แตกต่างกัน ไม่เสมอไปที่ความสบายอย่างที่หลายคนตามหาจะเป็นความปรารถนาของทุกคน และไม่ทุกครั้งที่รสนิยมของเราจะตรงกับคนอื่น บทสนทนาระหว่างเชอร์รี่และพิสิทธิ์จึงช่วยกระตุกต่อมเราได้ไม่น้อยว่า จงอย่าเหมารวมว่าทุกคนจะคิดแบบเดียวกัน และจงอย่าลืมว่าโลกใบนี้ไม่ได้หมุนรอบตัวเราแค่คนเดียว
ต่อให้หนี สิ่งที่เรารักก็ตามเราไปอยู่ดี
เชอร์รี่ผิดหวังจากการติด F ในวิชาหนึ่งของการเรียนสถาปัตยกรรมศาสตร์ เธอจึงหยุดวาดรูปและพยายามหลบหนีจากสิ่งที่เธอหลงใหลมาทั้งชีวิต
เธอเชื่อว่าตัวเองหนีมาได้ไกลพอ แต่ท้ายที่สุด สิ่งที่เธอชอบก็ไม่เคยห่างไกล มันยังคงประทับอยู่ที่เดิมในใจเหมือนเช่นครั้งที่เธอยังเป็นเด็ก
ในช่วงแรกที่ไปต่างประเทศ เชอร์รี่พยายามใช้ข้ออ้าง ‘ไม่มีปากกา’ ในการประวิงเวลาวาดเขียนออกไป แต่เมื่อเพื่อนสนิทอย่างนุ่นซื้อปากกาให้เป็นของขวัญ ศิลปินที่ครั้งหนึ่งเต็มไปด้วยความฝันก็กลับมามีไฟ ลุกขึ้นสู้ และลงมือวาดรูปอีกครั้งหนึ่ง
กว่าจะมาถึงจุดนี้ เธอมีโอกาสลองงานอื่นๆ มาไม่น้อย ได้ลองเสิร์ฟอาหาร ทำงานบริการ หั่นผัก ไปจนถึงรำไทย แม้จะไม่มีสักอย่างที่เธอชอบ และตลอดการลองทำ เธอก็ดูมีความสุขได้ไม่ถึงครึ่งของนุ่น ทว่านั่นก็ไม่เป็นการเสียเวลา เพราะมันทำให้เธอรู้ตัวชัดเจนว่า สิ่งที่ฉันชอบที่สุดยังคงเป็นการวาดรูปและเขียนแบบดังเดิม

เพื่อนร่วมทางและเพื่อนระหว่างทาง
แง่มุมหนึ่งที่อาจเรียกได้ว่าชัดเจนและจะแจ้งที่สุดใน หนีตามกาลิเลโอ คงหนีไม่พ้นมิตรภาพ ตลอดความยาว 2 ชั่วโมง 10 นาที หนังชี้ให้เราเห็นว่า การมีใครสักคนเดินทางไปด้วยคงช่วยให้อะไรๆ ดีขึ้น อย่างน้อยก็มีคนช่วยมองทาง วางแผน หรือถ้าหากมีใครป่วยหรือมีเหตุฉุกเฉิน จะได้มีอีกคนช่วยดูแลช่วยเหลือ
จริงอยู่ที่ในหลายทริป เพื่อนร่วมทางที่เราเชื่อว่าแสนดีก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คาดไว้ ตลอดการเดินทางที่ควรจะมีเพียงเสียงหัวเราะกลับเต็มไปด้วยคำตำหนิ ด่าทอ จนแทบมองหน้ากันไม่ติด แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม การได้เดินทางกับใครสักคนหรือหลายคน จะช่วยให้เราได้เห็นตื้นลึกหนาบางของเขา ได้รู้ว่าในสถานการณ์ไม่ปกติ เขาเป็นคนอย่างไร เพราะบางคนก็เป็นเพื่อนกันได้ แต่ไม่เหมาะจะไปเที่ยวด้วยกัน แต่บางคนที่ดูไม่สนิทกัน ในช่วงเวลาคับขับกลับฝากผีฝากไข้ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
นอกจากนี้ ระหว่างการเดินทาง เราก็อาจจะได้เพื่อนใหม่ที่คงหาไม่ได้ในประเทศบ้านเกิด บ้างเป็นคนไทยในต่างแเดน บ้างเป็นเพื่อนมนุษย์ต่างภาษาและเชื้อชาติ ปะปนกันไปทั้งคนที่ใจดีและแล้งน้ำใจ คนที่เพิ่งรู้จักแต่ยินดีช่วย คนที่ใจจืดใจดำทั้งที่เราไม่เคยทำอะไรผิด ทั้งหมดย้ำเตือนว่า โลกใบนี้ประกอบขึ้นจากผู้คนหลากหลายรูปแบบ

ความสำคัญของครอบครัว
สายใยครอบครัวเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ถูกถ่ายทอด แม้ไม่บ่อยนัก ทว่ามีความสำคัญต่อเส้นเรื่อง
ทางด้านนุ่นที่ทะเลาะกับพ่อจะเป็นจะตายก่อนเดินทาง สุดท้ายก็คืนดีกันเมื่อเวลาผ่านไป ความห่างไกลช่วยให้ตระหนักว่าการทะเลาะรั้งแต่จะทำให้พ่อลูกต้องเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ต่อไปเรื่อยๆ
ฝั่งของเชอร์รี่ แม้เธอจะพยายามแสดงออกว่าเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว และพึ่งพาตัวเองได้ แต่ลึกๆ เธอก็เปลี่ยวเหงาและรักครอบครัวที่ประกอบด้วยพ่อและน้องชายอย่างสุดหัวใจ สังเกตได้จากการยอมโทรทางไกลเพียงเพื่อจะฟังเสียงของพ่อไม่กี่วินาที พอมีเรื่องน่ายินดีก็ลงทุนโทรบอกพ่อเป็นคนแรก หรือเมื่อเห็นเสื้อฟุตบอลที่น้องชายอยากได้ เธอก็ไม่ลังเลที่จะเสียสละเสื้อของตัวเองเพื่อแลกเปลี่ยนเป็นของขวัญให้กับคนที่เธอรัก
ระยะทางช่วยให้เชอร์รี่มองเห็นความสำคัญของความสัมพันธ์ ช่วงเวลาเอื้อให้ความคิดถึงได้ทำตามหน้าที่ ความสัมพันธ์ในครอบครัวของเชอร์รี่คล้ายอยากบอกกับคนดูว่า คนในครอบครัว แม้ไม่พูดอะไรก็เข้าใจกันทุกคำ

การเดินทางช่วยให้เติบโต
“ทำผิดแล้วไม่ยอมรับผิดอีก แกก็เป็นซะอย่างนี้ แกถึงต้องมาอยู่ที่นี่ไง”
อีกจุดที่งดงามของ หนีตามกาลิเลโอ คือความ Coming-of-age ที่ปรากฏในเรื่อง จากเดิมที่เชอร์รี่แทบจะไม่เคยยอมรับผิด ด้วยความเป็นคนมั่นใจ ไม่ยอมคน ทั้งยังไม่ต้องการแสดงด้านที่อ่อนแอออกมาให้ใครเห็น แต่ในที่สุด เหตุการณ์ในต่างแดนก็ช่วยให้เธอละทิ้งทิฐิ ยอมกะเทาะเนื้อใน แล้วพูดออกไปว่าขอโทษ
ถามว่าเธอสามารถมีชีวิตอยู่อย่างคนไม่ยอมรับความผิดได้หรือไม่ คำตอบคือได้ แต่มันคงดีกว่ามากที่ในวันนี้ เธอได้กลายเป็นคนที่ขอโทษคนอื่นเป็น ทั้งยังยอมรับในความผิดทั้งเล็กและใหญ่ที่ตัวเองเคยก่อ
อันที่จริง หลังจากที่นุ่นตะโกนด่าเชอร์รี่ เชอร์รี่ก็สวนนุ่นกลับไปเช่นกัน โดยเชอร์รี่สวนไปว่า
“ทีแกอะ ชอบให้พูดตรงๆ พอเอาเข้าจริงก็รับไม่ได้ ก็เป็นซะอย่างนี้ไง ไอตั้มมันถึงทนแกไม่ไหวอะ”
ถึงจะเป็นคนง่ายๆ สบายๆ แต่ในบางความสัมพันธ์ นุ่นก็เป็นคนเอาแต่ใจและเรียกร้องจากอีกฝ่ายมากจนนำไปสู่ความอึดอัด ทว่าปัญหาอยู่ตรงที่เมื่ออีกฝ่ายพูดตรงๆ เธอกลับรู้สึกแย่เกินกว่าจะยอมรับและแก้ไข กลายเป็นคนชอบอะไรตรงไปตรงมา แต่กลับรับมือกับสิ่งตรงไปตรงมาที่ได้ฟังไม่ได้เสียอย่างนั้น
อย่างไรก็ดี สภาพแวดล้อมใหม่ในยุโรปช่วยให้นุ่นยอมรับสภาพความเป็นจริง โอบกอดสัจธรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างที่มันเป็น เธอเปิดตา เปิดใจ พร้อมเริ่มต้นความสัมพันธ์ครั้งใหม่ และรับฟังคำพูดที่ตรงไปตรงมามากขึ้น
เพราะฉะนั้น เราคนดูคงพอจะพูดได้ว่า การเดินทางไกลช่วยให้เราปล่อยวางบางอย่างและช่วยให้เราเข้าใจและยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น

แม้วันนี้ หนีตามกาลิเลโอ จะแปรสภาพสู่หนังเก่า แต่ก็คงไม่อาจปฏิเสธว่าเนื้อหา แก่นสาร และการแสดงในเรื่องยังคงทำงานกับเราทุกครั้งไป ต่อให้เป็นเด็กรุ่นใหม่ที่เกิดไม่ทันวันที่หนังเข้าฉาย เราก็เชื่อเหลือเกินว่า ท้ายที่สุด ความสับสนในช่วงก้าวผ่านวัยในเรื่องจะยังคงเป็นสิ่งที่คนทุกยุคทุกสมัยเชื่อมโยงได้ไม่เปลี่ยนแปลง
วันนี้ ร่องรอยต่างๆ ได้พิสูจน์แล้วว่า ช่วงเวลา 15 ปี ไม่อาจลดทอนแก่นสารที่หนังเรื่องนี้ทำงานกับหัวใจของคนไทย และมันจะยังทำงานเช่นนั้นจากรุ่นสู่รุ่น
อ้างอิงจาก