ไตรภาค X (X trilogy) กำกับโดย ติ เวสต์ (Ti West) เป็นชุดภาพยนตร์แนวสยองขวัญที่ผสมผสานเข้ากับองค์ประกอบสแลชเชอร์ (slasher) ที่มีฉากเลือดสาด อวัยวะกระจัดกระจาย การไล่ฆ่ากันอย่างโหดร้าย ซึ่งกลายเป็นเสน่ห์ของ X trilogy
อย่างไรก็ดี ถ้าตัดเรื่องสแลชเชอร์ไป เสน่ห์ของภาพยนตร์ทั้ง 3 เรื่อง ได้แก่ X (2022), Pearl (2022) และ MaXXXine (2024) มีหลายสิ่งหลายอย่างซ่อนอยู่ โดยเฉพาะ ‘ความทะเยอทะยาน’ ในการมีชื่อเสียงในวงการภาพยนตร์อเมริกันของตัวละครหลัก
พร้อมทั้งยังแสดงให้เห็นถึงการต่อต้านคุณธรรมอันดี (counter culture) ในยุคก่อนศตวรรษที่ 21 ทั้งการเล่นยา การเล่นหนังผู้ใหญ่ การทำตัวไม่สมเป็นเพศหญิงหรือชาย (gender role) ซึ่งตัวเอกของภาพยนตร์ทั้งสามล้วนเป็น ‘ผู้หญิง’ ที่แสดงโดยนักแสดงคนเดียวกัน นั่นก็คือ มีอา ก็อธ (Mia Goth) ดังนั้น จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะพูดถึง X trilogy โดยมองข้ามการเลือกปฏิบัติ ความเจ็บปวด ความรุนแรง ที่ผู้หญิงต้องประสบพบเจอในปี 1918, 1979 และ 1985 (ช่วงเวลาของหนังทั้ง 3 เรื่อง)
The MATTER ชวนทุกคนไปสำรวจนัยที่แฝงอยู่ในผลงานดังกล่าว เพื่อให้เห็นภาพประวัติศาสตร์ ขนบสังคม ความเป็นหญิง และอื่นๆ อีกมากมาย ที่พรั่งพรูออกมาพร้อมกับความน่าสยดสยองใน X trilogy
*บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาโดยส่วนใหญ่
ผู้หญิงมักจะถูกตีตราเมื่อพวกเธอวิ่งไล่ตามความฝัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องการเลือกชีวิตที่ไม่ธรรมดา ซึ่งธรรมดาที่ว่าหมายถึง การเป็นลูกสาว การเป็นภรรยา การเป็นแม่ และการเป็นผู้หญิงที่ดี (womanhood) นี่คือสิ่งผู้หญิงต้องพบเจอในทุกยุคทุกสมัย
X trilogy แสดงภาพให้ชัดขึ้นด้วยการให้ผู้ชมได้สัมผัสถึงความปรารถนาอันแรงกล้าของผู้หญิง ที่ต้องการเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงในวงการฮอลลีวูด ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ดูห่างไกลและยากเกินจะจับต้อง แต่สิ่งที่นอกเหนือไปกว่าการตามล่าฝัน การออกเดินทางเพื่อเป้าหมายแล้ว หนังไตรภาคดังกล่าวก็เต็มไปด้วยความสุดโต่ง ไม่แพ้หนังแนวสยองขวัญเรื่องอื่นๆ
เพราะการเป็นผู้หญิงที่กล้าจะเป็นตัวเอง กล้าที่จะคิดและพูด กล้าที่จะโชว์เรือนร่าง ล้วนเป็นสิ่งที่สังคมไม่สามารถยอมรับได้ (ในตอนนั้น) ราวกับพวกเธอเป็นปีศาจ เป็นสิ่งแปลกประหลาด ทำให้ความน่าสยดสยองอุบัติขึ้น ซึ่งสืบเนื่องมาจากความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ฉันจะไม่ยอมรับชีวิต ที่ฉันไม่คู่ควร” ‘X’ ผลงานแรกของ X trilogy
ช่วงเวลาของ X เกิดขึ้นในปี 1979 หรือ หลังจากที่สหรัฐฯ ถอนตัวจากสงครามเวียดนามไปราว 5 ปี หากย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้น เราหลายคนคงอาจจะนึกถึงขบวนการฮิปปี้ การประท้วงยุติสงครามของนักศึกษา การเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียม ดังนั้น ปลายทศวรรษ 60-70 ถือเป็นยุคแห่งการเปลี่ยนโฉมสังคมอเมริกันครั้งใหญ่เลยก็ว่าได้
หากเจาะจงการเคลื่อนไหวของผู้หญิง พวกเธอมีการต่อสู้หลายประเด็นในสังคม รวมถึงการเข้าร่วมกับขบวนการสหภาพแรงงานและสิทธิพลเมือง เพื่อขจัดความอยุติธรรมทางเพศ การกีดกันทางเพศ และการเลือกปฏิบัติทางเพศ
ความเปลี่ยนแปลงข้างต้นเกิดขึ้นคาบเกี่ยวกับ X ที่เปิดเรื่องขึ้นมาด้วยการให้เราพบกับตัวละครหลักของเรื่องทันที ‘แม็กซีน มิงซ์ (Maxine Minx)’ ที่กำลังเล่นโคเคน และพูดกับตัวเองหน้ากระจกในคลับเปลื้องผ้าที่เท็กซัสว่า “เธอเป็นเพียงสัญลักษณ์ทางเพศ” จากนั้นเธอก็คว้ากระเป๋าเดินทาง เพื่อไปถ่ายทําหนังโป๊ในฟาร์มชนบท โดยมีเพื่อนร่วมเดินทางทั้งหมด 6 คน ประกอบด้วย คู่หมั้นของเธอ เพื่อนร่วมงาน และทีมงาน
แต่พอทุกคนเดินทางไปถึงฟาร์ม กลับต้องเจอเหตุการณ์แปลกประหลาดมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการที่คู่หมั้นของแม็กซีนถูกปืนจ่อโดยฮาวเวิร์ด (Howard) เจ้าของบ้านที่แก่ชรา ไม่เพียงเท่านั้น แม็กซีนยังต้องเจอกับคำพูดประหลาดๆ และท่าทางการกระทำที่น่าอึดอัดของ เพิร์ล (Pearl) ภรรยาของฮาวเวิร์ดอยู่บ่อยครั้ง
ไม่ว่าจะเป็นการจ้องมองแม็กซีนและเพื่อนๆ ของเธอจากหน้าต่างชั้นสอง ไปจนถึงการเชิญชวนแม็กซีนให้มาดื่มน้ำมะนาวด้วยกัน ในฉากนี้หนังเหมือนพยายามให้เราเห็นถึง ‘ความต่าง’ ระหว่างผู้หญิงทั้งสองคน
เพิร์ล ผู้หญิงแก่ชราที่มีเนื้อกายเหี่ยวย่นตามอายุขัย ผมสีขาวบาง สวมชุดนอนยาวสีขาว ตรงกันข้ามกับอายแชโดว์สีฟ้าสดใสของแม็กซีน และชุดเอี๊ยมที่ต่างช่วยขับความอ่อนเยาว์ของเธอออกมายิ่งกว่าเดิม ซึ่งทั้งสองคนต่างโดดเด่นพร้อมกับแตกต่างกันอย่างสุดขั้วในเวลาเดียวกัน
“ฉันเคยสวย..เขา [ฮาวเวิร์ด] จะทําทุกอย่างเพื่อฉัน นั่นแหละพลังแห่งความงาม” เพิร์ลบอกกับแม็กซีน ขณะชี้ไปที่ภาพถ่ายตอนที่เธอยังคงอ่อนวัย
พร้อมกับกล่าวอีกว่า “ตอนนี้เขาไม่ทำเพื่อฉันเหมือนแต่ก่อนแล้ว” หลังจากนั้นก็เอานิ้วแตะบนร่างกายของแม็กซีน ราวกับต้องการสัมผัสความเยาว์วัย ความงาม หรือแม้แต่ความเป็นอิสระ ที่จางหายจากตัวเธอไปนานแสนนานแล้ว
จึงอาจพูดได้ว่า การได้เจอแม็กซีนทำให้เพิร์ลกลับเข้าสู่โลกแห่งจินตนาการ ที่เธอได้เป็นนักแสดงเต้นบนจอเงิน ความรู้สึกอันหอมหวานและขมขื่นนี้ นำไปสู่ความหิวกระหายในตัวแม็กซีน ที่อัดแน่นไปด้วยแรงอิจฉาและแรงปรารถนา เพิร์ลเหมือนต้องการทุกสิ่งที่เป็นแม็กซีน ถึงกับเอ่ยปากว่า “เธอไม่เหมือนใคร เธอพิเศษ” กับสามีของตัวเอง
พร้อมกันนั้นเพิร์ลก็แสดงท่าทีรังเกียจในตัวตนของแม็กซีนเช่นกัน เพราะตัวตน การกระทำของแม็กซีนต่างขัดต่อความคาดหวังและบรรทัดฐานของสังคม (norm) ดังนั้น หากจะเปรียบว่าเพิร์ลกำลังทำหน้าที่เป็นมาตรวัด และต้องการให้แม็กซีนปฏิบัติตัวตามกรอบของสังคมก็คงไม่ผิดนัก จึงกลายเป็นทั้งรักในความงามเสน่ห์ และเกลียดชังต่อตัวตนแม็กซีน จนสิ่งเหล่านี้ระเบิดออกมาและเพิร์ลก็เลือกวิธีแห่งการ ‘ทำลาย’ เพื่อสนองความรู้สึกของตน
เพิร์ลจึงสร้างความหายนะให้กับทั้ง 6 คน เพื่อให้คนเหล่านี้เป็นเหมือนตัวตายตัวแทนของทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกพรากไปจากเธอ เพราะตอนนี้เธอไม่สามารถทำตามความฝัน เพราะด้วยอายุและสภาพร่างกายที่ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว และเธอยังรู้สึกไม่เป็นที่ต้องการอีกต่อไป แค่เพียงการร่วมรักกับสามียังเป็นเรื่องยาก เนื่องจากฮาวเวิร์ดมีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ ซึ่งตรงกันข้ามกับแม็กซีนและคนอื่นๆ ที่ยังสามารถรู้สึกมีความสุข รู้สึกเป็นอิสระ สามารถเปลือยเรือนร่างโดยไม่แคร์ว่าใครจะคิดยังไง ส่งผลให้เพื่อนของเธอต่างถูกไล่ฆ่าอย่างโหดเหี้ยมจากทั้งเพิร์ลและฮาวเวิร์ด
แต่ท้ายที่สุดแล้ว แม็กซีนสามารถเอาชนะเพิร์ล ด้วยการตอบโต้กลับว่า “ฉันไม่เหมือนแก และฉันจะเป็นดาราที่มีชื่อเสียง ฉันจะไม่มีทางยอมรับชีวิตที่ฉันไม่คู่ควร” เหมือนเป็นการตอกย้ำกลับว่า ฉันทะเยอทะยานกว่า ฉันไม่มีวันยอมให้สิ่งใดมาหยุดฉันได้ ดังนั้น ฉันเป็นฉัน ฉันต่างกับเธอ แล้วทั้งสองก็แยกจากกันไปตลอดกาล
“ได้โปรดฉันเป็นดาวเด่นนนนน!” Pearl จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด
ภาพยนตร์เรื่องที่สอง Pearl เป็นเรื่องราวของเพิร์ลขณะที่เธอยังเป็นวัยรุ่น หรือย้อนไปเมื่อปี 1918 ช่วงเวลาแห่งสงครามโลกครั้งที่ 1 อย่างไรก็ดี ก่อนที่สงครามจะบังเกิดขึ้น บทบาทของผู้หญิงถูกคาดหวังให้ประพฤติตัวสุภาพ ต้องสวมเดรสยาวปกปิดเนื้อกายมิดชิด และผู้หญิงต้องทำงานที่อยู่ในธรรมเนียมเท่านั้น เช่น แม่บ้าน ช่างเย็บผ้า เลขานุการ และพยาบาล แต่ในช่วงสงคราม ผู้หญิงเริ่มได้รับการว่าจ้างในงานประเภทอื่นๆ เช่น งานโรงงาน เพื่อแทนที่ผู้ชายที่ไปสู้รบในสงคราม
แต่หลังจากที่ผู้ชายกลับมา ผู้หญิงก็ถูกกีดกันเหมือนเดิม โดยส่วนใหญ่ต้องกลับไปเป็นภรรยาและแม่ที่ดีตามเดิม จนปี 1920 จึงเกิดการเรียกร้องสิทธิอย่างจริงจังมากขึ้น จนผู้หญิงผิวขาวมีสิทธิในลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง
เรื่องราวข้างต้นเกิดขึ้นในห้วงเวลาเดียวกับ ‘เพิร์ล (Pearl)’ หญิงสาวชาวเยอรมันที่อพยพมาตั้งรกรากที่เท็กซัส แม้ว่าเพิร์ลจะดูเหมือนหญิงสาวธรรมดาทั่วไป แต่เธอกลับมีความฝันที่ยิ่งใหญ่ นั่นก็คือการหนีออกจากฟาร์มและเมืองที่เล็กอุดอู้ เพื่อไปเป็นดารา ไปเปิดหูเปิดตาในโลกอันกว้างใหญ่
เพิร์ลหลงใหลในการเต้นและเชื่อมั่นในพรสวรรค์ของตัวเองเป็นอย่างมาก เธอเพียงแค่รอจังหวะและโอกาสที่สามารถทำให้ความต้องการของเธอเป็นจริงได้เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ตลอดทั้งเรื่องเพิร์ลแสดงสัญญาณของความเจ็บป่วยทางจิตอย่างรุนแรง ทั้งทําร้ายพ่อที่เป็นอัมพาตจากการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สเปน (Spanish flu) และฆ่าสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยเพื่อนำไปให้สัตว์เลี้ยงของตัวเอง ซึ่งคือจระเข้ในทะเลสาบ
ทั้งนี้ ภาวะที่เพิร์ลประสบอาจเกิดจากความเหงา ความเบื่อหน่าย การเก็บกด เพราะฮาวเวิร์ดสามีของเธอ ไปร่วมรบกับฝ่ายพันธมิตรในยุโรป ดินแดนอันห่างไกลที่เธอก็อยากไปเยือนเช่นกัน เธอรู้สึกเหมือนโดนทิ้งให้ประสบกับโลกอันน่าหดหู่อย่างโดดเดี่ยว เพราะแม่ของเธอ หรือ รูธ พยายามให้เธอทำงานต่างๆ ในฟาร์ม พร้อมทั้งดูแลพ่อที่ป่วยหนักไปพร้อมๆ กัน
และยังพยายามขัดขวางความต้องการของเพิร์ลแทบจะทุกอย่างทั้งการแต่งหน้า แต่งตัว ดูหนัง และอีกมากมาย เพราะแม่ของเธอกลายเป็นเสาหลักของบ้าน ทำให้เพิร์ลต้องคอยช่วยงานแม่เท่าที่จะทำได้ แม้ว่าเธอจะดูอิดโรยและสิ้นหวังในชะตาชีวิตของตัวเอง แต่เธอก็ยังใฝ่ฝันอยู่ดีว่า สักวันหนึ่งจะได้เป็นนักเต้นในวงการฮอลลีวูด
ซึ่งรูธก็แสดงอารมณ์ไม่พอใจกับความทะเยอทะยานของลูกสาวอยู่เสมอ ไม่เคยชมหรือสนับสนุนเพิร์ลเลยสักครั้ง แม้ว่าชุดสวยๆ ที่เพิร์ลชอบนำแอบมาใส่ก็คือชุดของรูธที่ถูกเก็บซ่อน ราวกับหนังพยายามบอกเราไว้ว่า แม่ของเพิร์ลก็มีความฝันและไม่ต้องการติดแหง่กอยู่ในที่แห่งนี้เช่นเดียวกับลูกสาวของเธอ
“แทบทุกอย่างที่ฉันมี ถูกพรากไปหมดแล้ว เพิร์ล” รูธ กล่าว
เหมือนกรอบของสังคมได้กักขังให้รูธต้องเป็นภรรยาและแม่ที่ดี จนความอัดอั้นตันใจของเธอถูกส่งต่อให้กับเพิร์ลแทน เพราะเพิร์ลยังมีโอกาสที่จะหนีไป ตรงข้ามกับรูธที่จะไม่มีวันได้รับโอกาสนั้นอีกแล้ว ซึ่งเพิร์ลก็สัมผัสได้ถึงสิ่งนี้ เธอจึงตั้งมั่นว่าจะไม่มีวันยอมรับชะตาชีวิตเส้นทางเดียวกับแม่ของเธอเป็นอันขาด
ต่อมาวันที่เพิร์ลรอคอยมาทั้งชีวิตก็เกิดขึ้น เพราะมีการจัดออดิชั่นเพื่อค้นหาหญิงสาวที่คู่ควรกับการเดินทางไปแสดงเต้นทั่วสหรัฐฯ เพิร์ลจึงวางแผนจะหนีไปจากฟาร์มและทำลายทุกอย่างที่ขว้างหน้าเธอ และนี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวอันน่าสยดสยอง
แต่เธอได้ไปออดิชั่นตามที่หวังไว้ พอเพิร์ลได้ก้าวขึ้นไปยังบนเวทีเธอก็เต้นจนสุดความสามารถ ซึ่งเหล่ากรรมการก็เห็นพ้องว่า เธอทำได้อย่างยอดเยี่ยม แต่พวกเขาต้องการหญิงสาวที่โดดเด่น อย่างดูเป็นอเมริกันมากกว่า และมีผมสีบลอนด์ ดังนั้น แม้ว่าเพิร์ลจะทำดีกว่านี้อีกร้อยเท่าพันเท่าเธอก็ไม่มีวันชนะ
เพิร์ลเสียใจเป็นอย่างมาก เหมือนโลกทั้งใบของเธอกำลังพังทลาย เพราะกลายเป็นว่าสิ่งที่แม่เธอพร่ำบอกเธอว่า “แกไม่มีวันได้เป็นตามที่หวัง เพราะแกมันไม่ดี แกต้องติดอยู่ที่นี่ตลอดไป” กลับเป็นความจริงเหมือนโชคชะตาไม่เคยเป็นใจให้กับเธอเลย
สุดท้ายแล้วเพิร์ลต้องจำใจยอมรับมัน เธอจะเป็นภรรยาที่ดี เธอจะอยู่ในฟาร์มบ้านของเธอตลอดไป ทว่าในใจของเธอก็ไม่ได้ต้องการอยู่ดี ความเศร้าโศกถูกพัฒนาไปเป็นความโกรธ จนเพิร์ลกลายเป็นคนแปลกประหลาดและเป็นโรคจิตอย่างเต็มขั้น
“ฉันอยากเป็นเหมือนสาวสวยในหนัง เพราะทุกคนจะรักฉัน ให้คุ้มกับที่ฉันต้องทุกข์ทรมานมานาน” เพิร์ล กล่าว
‘ฮอลลีวูดเป็นดั่งนักฆ่า’ MaXXXine ภาคส่งท้ายของจักรวาล ‘X’ ?
ทศวรรษ 1980 ยุคแห่งการพึ่งพาตัวเองของผู้หญิง การทำงานเพื่อเลี้ยงดูตัวเอง หรือการทำงานควบคู่ไปกับสามีเพื่อหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว แสดงให้เห็นถึงสิทธิและความเท่าเทียมกัน ที่สลัดภาพจำผู้หญิงในโลกอุดมคติแบบ American dream ไปเกือบหมด งานในครัวเรือน การเลี้ยงลูก ไม่ใช่งานเต็มเวลาของผู้หญิงเท่านั้นอีกต่อไป
MaXXXine เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของ ‘แม็กซีน มิงซ์’ ในปี 1985 หลังจากหนีออกมาจากบ้านฟาร์มของเพิร์ลราว 6 ปีมาแล้ว โดยหนังเรื่องนี้เปิดด้วย ความทะเยอทะยานของแม็กซีน ที่ต้องการจะเป็นหนังแสดงฮอลลีวูด เธอเดินไปออดิชั่นบทหนังสยองขวัญ แม้ว่าสังคมในขณะนั้นบอกว่ามันแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะอาชีพที่เธอทำอยู่ (เล่นหนังผู้ใหญ่) ยากที่จะมีคนยอมรับในตัวตนของเธอ
ซึ่งไม่ต่างกับเพิร์ล เพราะคนรอบตัวโดยเฉพาะแม่ของเธอต่างพร่ำบอกเช่นเดียวกันว่า “เธอไม่มีวันได้เป็น” อย่างไรก็ตาม ด้วยยุคสมัยที่ยอมรับในตัวผู้หญิงมากขึ้น แม็กซีนจึงยังพอมีโอกาสในการออดิชั่นสําหรับบทบาทมากมายต่างกับเพิร์ลอย่างสิ้นเชิง จนเกิดข้อสังเกตที่ว่า หากเพิร์ลเติบโตในยุคเดียวกับแม็กซีน เธอก็มีโอกาสที่จะได้ทำตามความฝันมากกว่านี้หรือเปล่า?
เพราะการก้าวไปเป็นดาราดังเป็นวิธีเดียวของแม็กซีนในการหนีจากชีวิตที่เธอไม่ต้องการ หากย้อนไปที่ภาค X มีการปูพื้นมาว่าแม็กซีนเป็นลูกสาวของนักเทศน์ (the preacher’s daughter) ที่มองว่าผู้หญิงที่ปฏิบัติตัวไม่สมเป็นผู้หญิงจะทำให้สังคมและศาสนาแปดเปื้อน ฉะนั้นแล้วผู้หญิงเหล่านี้ล้วนทำบาป จึงจำเป็นต้องถูกชำระล้างให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง ก่อนที่จะกลืนกินสิ่งอันดีงามไปเสียหมด
ทั้งนี้ การออดิชั่นบทของแม็กซีนนั้นผ่านไปด้วยดี และเธอก็ได้รับบทดังกล่าว ทว่ามีบางอย่างคอยเข้ามาขัดขวางเส้นทางของเธอ อย่างเพื่อนรอบตัวเธอถูกฆาตกรรม ถูกข่มขู่ว่าจะโดนเปิดโปงเรื่องที่ฟาร์ม (ที่เธออาจตกเป็นผู้ต้องสงสัยได้) การถูกไล่ทำร้ายโดยนักสืบเอกชน ซึ่งแม็กซีนไม่สามารถรู้ได้เลยว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอเป็นฝีมือใคร และต้องการอะไรจากเธอกันแน่
ระหว่างที่หนังดำเนินเรื่องไปเรื่อยๆ เราจะพบกับการระบุถึง ริชาร์ด รามิเรซ (Richard Ramirez) หรือ Night Stalker ฆาตกรต่อเนื่องที่ฆ่าคนอย่างไม่มีแบบแผนอย่างชัดเจน ในช่วงปี 1984-1985 ซึ่งรามิเรซเป็นบุคคลที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ ส่งผลให้การประโคมข่าวของเขาเหมือนเป็นการเบี่ยงเบนฆาตกรอีกคน ที่พุ่งเป้าไปที่แม็กซีนโดยเฉพาะ
สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับแม็กซีน เหมือนพยายามจะหยุดยั้งชีวิตที่กำลังไปได้ดีของเธอ ทั้งที่เธออุตส่าห์รอดพ้นจากเรื่องอันเลวร้ายมากมายมาได้ และพยายามทิ้งพวกมันไว้เบื้องหลัง แม็กซีนจึงตัดสินใจที่จะเผชิญหน้าและสู้อีกครั้ง จนเธอก็พบกับคนที่ตามไล่ล่าเธอ ซึ่งก็คือพ่อของเธอเอง ที่มีเป้าหมายในการนำลูกสาวที่ดื้อรั้นมาปลดปล่อยบาปที่เธอได้ก่อขึ้น ด้วยการทำพิธีกรรมไล่ผีเพื่อให้แม็กซีนกลับมาเป็นผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบ (nice girl) อีกครั้ง
การกระทำอันโหดเหี้ยมของพ่อแม็กซีน มีชุดความคิดชายเป็นใหญ่ (patriarchy) แทรกซึมอยู่ ทั้งการตัดสินว่าผู้หญิงที่ดีต้องเป็นเช่นไร คิดว่าตัวเองมีอำนาจเหนือลูกสาวและผู้หญิงทั้งปวง มองผู้หญิงที่ไม่ประพฤติตัวตามขนบว่าต่ำเตี้ยกว่าผู้ชายหรือผู้หญิงที่ถูกจัดว่าดีงาม ดังนั้น ผู้หญิงที่ไม่ดีถือเป็นภัยคุกคามต่ออำนาจความเป็นชาย ความเป็นพ่อ และผู้นำทางศาสนา ที่ตัวเขาเองถือบทบาทเหล่านี้ไว้อยู่
ฉะนั้นแล้ว X trilogy เป็นชุดหนังสยองขวัญที่เป็นมากกว่าหนังสยองขวัญ เพราะยังให้เห็นถึงความต้องการปลดแอกตัวเองของผู้หญิง ที่ทั้งเพิร์ลและแม็กซีนต่างยอมทำทุกหนทางเพื่อตามล่าฝันของตัวเอง แต่ด้วยยุคสมัยที่แตกต่างกันหลายปี ความทะเยอทะยานของเพิร์ลทําให้เธอกลายเป็นสัตว์ประหลาด ในขณะที่ความพยายามของแม็กซีนทําให้เธอกลายเป็นดาราที่มีชื่อเสียง อย่างไรก็ตาม แม็กซีนก็ยังต้องบอบช้ำกับการกระทำของพ่อตัวเอง การสูญเสียคนรักและเพื่อน และที่สำคัญคำพูดของเพิร์ลยังคงหลอกหลอนเธอตลอดเวลา
อาจจะพูดได้ว่าชุดภาพยนตร์นี้พยายามบอกกับผู้ชมว่า การแสวงหาการถูกยอมรับในตัวตนที่แท้จริงของผู้หญิงเป็นสิ่งที่ยากจะเกิดขึ้น พวกเธอต้องประสบกับอุปสรรคมากมายที่คอยรุมทึ้งตัวตนและความฝันอยู่ตลอดเวลา ซึ่งสะท้อนความโหดร้ายของสังคมและวงการฮอลลีวูดที่มีต่อเพศหญิงอย่างเด่นชัด
“ฉันจะไม่มีวันยอมรับชีวิต ที่ฉันไม่คู่ควร” – พวกเธอต้องดิ้นรนเพียงใด ถึงต้องพูดประโยคนี้ซ้ำๆ กับตัวเอง