“ดูจากบรรยากาศเศรษฐกิจ 1-2 ปีต่อจากนี้ บอกเลยว่าใครยังทำงานชิล Work-Life Balance, Slow Life อยู่ไม่รอดแน่นอน ตอนนี้ต้องกลับเข้าสู่บรรยากาศ Work Hard to Survive แล้ว”
สเตตัสดังกล่าวถูกโพสต์บนแอปพลิเคชันเฟซบุ๊ก เมื่อกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ก่อให้เกิดการแสดงความเห็นเป็นวงกว้างทั้งในเชิงเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย คนที่เห็นพ้องมองว่า คือความจริงเพราะขณะนี้เศรษฐกิจย่ำแย่มาก ถึงเวลาที่ต้องปรับตัว
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยมองว่า ประโยคดังกล่าวเป็นการมองข้ามปัญหาที่แท้จริง นั่นคือปัญหาเชิงโครงสร้างที่คนส่วนใหญ่ในสังคมประสบกับความเหลื่อมล้ำ ดังนั้นจึงมองว่าการสรุปแบบนี้ไม่ค่อยจะถูกนัก เพราะแทบทุกคนล้วนทำงานหนัก
การถกเถียงที่ไม่จบสิ้นในประเด็นดังกล่าว สามารถบ่งบอกสภาวะสังคมไทยอย่างไรบ้าง? The MATTER ชวนตั้งคำถาม หาคำตอบตั้งแต่ Work-Life Balance การทำงานหนักทำให้คนลืมตาอ้าปากได้จริงไหม? ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ไปจนถึงรัฐสวัสดิการ
Work-Life Balance เป็นสิ่งที่หลายคนอยากจับต้อง?
ความสมดุลของชีวิตการทํางาน (work-life balance) มักถูกมองว่าเป็น ‘กุญแจ’ สู่วิถีชีวิตที่มีสุขภาพทั้งกายและใจที่ดี ดัชนี Global Life-Work Balance Index ปี 2023 ที่จัดทำขึ้นโดยบริษัท HR-tech Remote ซึ่งผลักดันเกี่ยวกับสิทธิแรงงาน เช่น การลาพักผ่อนประจําปีตามกฎหมาย เปอร์เซ็นต์การจ่ายเงินขณะป่วยขั้นต่ำตามกฎหมาย และจ่ายเงินค่าจ้างขณะลาคลอด
โดยรายงานดังกล่าวยังยกตัวอย่างประเทศที่สามารถก้าวถึงความสมดุลของการทำงาน เช่น นิวซีแลนด์ ประเทศที่กำหนดให้ผู้ที่ลาคลอดได้รับค่าจ้าง 26 สัปดาห์ วันลาพักผ่อนประจําปีตามกฎหมาย 32 วัน และเปอร์เซ็นต์จ่ายค่าจ้างเมื่อป่วยอยู่ที่ 80%
แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีข้อเสียอยู่เลย เพราะไม่ใช่ชาวนิวซีแลนด์ทุกคนจะได้รับสวัสดิการข้างต้นอย่างครอบคลุมทุกคน นอกจากนี้ ยังมีประเทศอื่นๆ ที่ถูกยกมาเป็นตัวอย่าง อาทิ สเปน เดนมาร์ก ฝรั่งเศส และอิตาลี
ทำไมคนไทยทำงานเกิน 50 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แต่ยังประสบกับความเหลื่อมล้ำ
กระทรวงแรงงานประกาศเรื่อง ‘มาตรฐานแรงงานไทย ความรับผิดชอบ ทางธุรกิจของไทย’ ไว้ว่า สถานประกอบกิจการต้องกําหนดชั่วโมงการทํางานปกติของลูกจ้างไม่เกิน วันละ 8 ชั่วโมง หรือสัปดาห์ละไม่เกิน 48 ชั่วโมง และต้องจัดให้มีวันหยุดอย่างน้อย 1 วันในทุกสัปดาห์
อย่างไรก็ตาม หากลองหาข้อมูลใน Google เกี่ยวกับชั่วโมงการทำงาน จะพบข่าว บทความ หรือการตั้งกระทู้ถามเชิงว่า ‘จริงๆ แล้วคนไทยทำงานกี่ชั่วโมงกันแน่’ ‘นายจ้างให้ทำงานล่วงเวลา แต่ไม่ได้รับเงินส่วนนี้’ หรือ ‘ไม่สบายแต่ก็ต้องทำงาน เพราะลาป่วยไม่ได้’ ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลของ Cities with the Overworked ที่ชี้ว่า แรงงานในประเทศไทย โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ มีชั่วโมงการทำงานที่ยาวนานติดอันดับ 5 ของโลก
World Inequality Database ยังระบุว่า ตั้งแต่ปี 2017-2022 ระดับความไม่เท่าเทียมกันของรายได้ในประเทศไทยยังคงสูงที่สุดในโลก เท่ากับอินเดียและมัลดีฟส์ เนื่องจากประชากรราว 10% มีรายได้เกินครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งหมดของประเทศ ในขณะที่ประชากรที่ยากจนมีรายได้เพียง 10% ของรายได้ทั้งหมด
นอกจากนี้ เมื่อ 23 พฤศจิกายน 2022 World Bank เปิดเผยข้อมูลว่า แม้ว่าช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยมีความคืบหน้าในการลดระดับความไม่เท่าเทียมกัน ทว่าความเหลื่อมล้ำก็ยังคงสูงอยู่ดี
“ปัจจัยเชิงโครงสร้างหลายประการมีส่วนทําให้เกิดความเหลื่อมล้ำ โดยเฉพาะด้านการศึกษา ที่มีรายงานว่านักเรียนจากครอบครัวที่ยากจนจำเป็นต้องออกจากโรงเรียนตั้งแต่อายุยังน้อย” World Bank ระบุ
การทำงานหนักทำให้ลืมตาอ้าปากได้จริงไหม?
BBC เคยรายงานเมื่อปี 2021 ว่า คนที่ทํางานมากกว่า 54 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ มีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตจากการทํางานหนักเกินไป ซึ่งข้อมูลดังกล่าวเกิดจากความร่วมมือจากสถาบันต่างๆ รวมถึงองค์การอนามัยโลก (WHO) และองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ที่ต้องการหาปริมาณผู้ที่ป่วยจากการทํางานเป็นเวลานานทั่วโลก
พบว่า ในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตราว 3 ต่อ 4 ล้านคน จากโรคหัวใจขาดเลือดและโรคหลอดเลือดสมอง เนื่องจากการทํางานหนัก เพราะความเครียดและความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยสําคัญที่ก่อให้เกิดโรคที่ระบุข้างต้น
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ผู้คนเสียชีวิตจากการทํางานหนักเกินไปมากกว่าเสียชีวิตจากโรคมาลาเรีย ดังนั้น ถือเป็นวิกฤตสุขภาพโลก ที่บริษัทและรัฐบาลต้องรีบเร่งแก้ไขปัญหาก่อนที่มันจะเลวร้ายลงไปกว่านี้ นอกจากนี้ ในบทความที่ตีพิมพ์ในวารสาร Environment International ชี้ว่า การทำงาน 55 ชั่วโมงขึ้นไปต่อสัปดาห์กระทบต่อสุขภาพ ซึ่งข้อมูลยังแสดงให้เห็นว่า ผู้คนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทํางานหนักที่สุด
“อาจเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรม และผู้คนส่วนมากจำเป็นต้องทํางานหนักเพื่อความอยู่รอด” แฟรงค์ เพกา (Frank Pega) เจ้าหน้าที่ด้านเทคนิคของ WHO และผู้เขียนบทความ กล่าว
ในทางกลับกัน ชาวยุโรปจํานวนมากเพลิดเพลินกับวัฒนธรรมการทํางาน ที่ให้ความสำคัญกับการเฉลิมฉลองวันหยุดยาวและช่วงพักที่ยาวนาน โดยวัฒนธรรมนี้ปรากฏอยู่ในกฎหมาย ตัวอย่างเช่น สหภาพยุโรป (EU) สั่งห้ามไม่ให้พนักงานทํางานมากกว่า 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์โดยเฉลี่ย
การทํางานหนักเกินไปนำไปสู่อันตรายต่อสุขภาพ แต่ถึงอย่างนั้นยังมีสังคมที่ยกย่องการทํางานหนักอยู่ดี เพกาจึงเรียกร้องให้สถานที่ทํางานยอมรับการทำงานที่ยืดหยุ่น การแบ่งปันงาน และวิธีการอื่นๆ เพื่อปรับปรุงความสมดุลในตารางการทํางานที่แน่นเอี๊ยด
ดังนั้น เพกามองว่าการเปลี่ยนแปลงจะมีประสิทธิภาพที่สุด ก็ต่อเมื่อเกิดขึ้นในระดับรัฐบาลด้วย เช่น ยุโรปมีการกำหนดชั่วโมงการทำงาน ซึ่งกุญแจสําคัญคือ การบังคับใช้และติดตามกฎหมายเหล่านั้น และมาตรการต่อต้านความยากจนและโครงการสวัสดิการก็สามารถลดการโหมงานอย่างหนักของผู้คนได้อีกเช่นกัน
การให้คุณค่าการทำงานหนัก เกิดขึ้นจากวัฒนธรรมและโครงสร้าง?
วัฒนธรรมการทำงานในเอเชียตะวันออก จะเน้นการทํางานหนัก การมีวินัย และความอุตสาหะ วัฒนธรรมที่เข้มแข็งและอุตสาหะนี้เกิดขึ้นจาก ความเชื่อทางปรัชญา บรรทัดฐานทางสังคม และระบบการศึกษา ซึ่งจะเห็นได้ชัดใน จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้
อย่างไรก็ดี วัฒนธรรมเหล่านี้ยังแผ่ไปหลายประเทศทั่วเอเชีย เช่น ไทย แต่การเกิดขึ้นของการตอบโต้ข้อความที่ระบุให้คนทำงานหนักยิ่งขึ้น ค่อนข้างแปลกใหม่ในสังคมเพราะทุกคนโดยส่วนใหญ่ต่างไม่เห็นพ้องต้องกัน
เก่งกิจ กิติเรียงลาภ อาจารย์ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อธิบายปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังว่า คำว่า ‘ทำงานหนัก’ ถูกจัดเป็นคำพูดที่ทุกคนมักเคยได้ยินกันอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว ที่ใครๆ ก็มักจะบอกว่า ต้องขยันทำงานหนัก ดังนั้นมันเป็นคำที่ได้ยินกันจนเป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าจะเปิดทีวี ไปหาหมอดู กลับบ้านไปเจอพ่อแม่ ก็จะเจอคำพูดประมาณนี้ว่า ‘ต้องขยัน ชีวิตเราถึงจะดี’
“ผมจึงมองว่ามันเป็นความคิดโดยทั่วไปของคนสังคม ซึ่งคนจำนวนหนึ่งในสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนชนชั้นกลาง ที่อาจประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน มักจะพูดอะไรทำนองนี้”
เขาอธิบายต่อว่า ถ้าเป็นเมื่อก่อนประโยคเชิงนี้โดยส่วนใหญ่มักมาจากฝั่งคนจีนที่ว่า ต้องทำงานหนัก ต้องขยันนะ หลังจากพวกเขาโยกย้ายถิ่นฐานมาไทย ดังนั้นความคิดนี้จึงตกทอดมาอยู่ในสังคมไทย ที่เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำ เพราะฉะนั้นมันก็ง่ายที่คนจำนวนหนึ่งจะเอาตัวรอดทางเศรษฐกิจได้ และไปบอกคนอื่นว่าต้องทำอย่างไร จนกลายเป็นชุดความคิดที่ถูกผลิตซ้ำ
อาจารย์เก่งกิจยกตัวอย่างว่า สมมติถ้ามีคนพูดกับเราเมื่อ 10 ปีก่อนว่า ต้องทำงานหนัก อาจจะไม่มีคนแย้ง ทุกคนอาจเห็นด้วยเลยด้วยซ้ำ แต่ในปัจจุบันสังคมไทยเผชิญหน้ากับความเหลื่อมล้ำ แล้วตอนนี้เราทุกคนก็อยู่ช่วงเวลาที่ทุกคนทำงานหนักมาก แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่สามารถเอาตัวรอด โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ทำงานหนักมากๆ
“เพราะฉะนั้นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตของเราทุกคน ในประเทศที่เหลื่อมล้ำมากขนาดนี้ มันขัดแย้งกับสเตตัสนั้น หรือขัดแย้งกับชุดความเชื่อที่เคยครอบงำสังคมมาอย่างยาวนาน”
เป็นคำพูดที่พูดยังไงก็ถูก แต่ไม่มีประโยชน์
อาจารย์เก่งกิจมองปรากฏการณ์หลังสเตตัสเฟซบุ๊ก work smart to survive ว่าเป็นความเปลี่ยนแปลงที่ก้าวหน้าในแง่ความคิดของคน เพราะทุกคนกล้าตั้งคำถามกับเรื่องนี้ ท่ามกลางชีวิตที่ยากลำบาก ทำงานหนักแทบเป็นแทบตาย แต่กลับมีคนมาพูดสิ่งที่ขัดแย้งกับประสบการณ์จริงของเรา
หากย้อนไปเมื่อ 10-20 ปี คนรุ่นพ่อแม่ผมคงไม่มีปัญหากับคำพูดนี้เลย หรือคนรุ่นผมก็อาจไม่มีปัญหาเช่นกัน เพราะผมเติบโตมาในช่วงเศรษฐกิจดี จึงอาจเกิดความรู้สึกว่าการกล่าวแบบนี้ก็ไม่แย่เท่าไหร่ แต่ตอนนี้ต้องยอมรับว่า ความเหลื่อมล้ำของประเทศไทยติดอันดับ 5 ของโลก ดังนั้น จะบอกว่าการทำงานหนักเป็นทางออกของชีวิต ผมมองว่ามันขัดแย้งกับความเป็นจริง
อาจารย์เก่งกิจเสริมว่า มีคำพูดจำนวนมากที่พูดยังไงก็ถูก แต่ไม่มีประโยชน์ เช่น เราทุกคนต้องเป็นคนดี เราทุกคนต้องขยัน เราทุกคนต้องเก็บเงิน เราทุกคนต้องรู้จักรักษาสุขภาพ ซึ่งหากมองดีๆ คำพูดเหล่านี้ไม่มีประโยชน์ เพราะมันไม่ตั้งคำถามไปไกลกว่าพฤติกรรมของปัจเจกบุคคล ผมจึงรู้สึกไม่แปลกที่คนในสังคมจะได้ยินคำพูดประมาณนี้บ่อยครั้ง ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นคำพูดที่ถูกต้องเสมอ
ไม่ต่างกับประโยค work smart to survive เพราะมันถูกจัดว่าเป็นคำพูดที่พูดยังไงก็ถูกต้องเสมอ ซึ่งใครพูดก็ได้ มันไม่ได้ต่างกับคำว่า work hard เลย ฉะนั้นแล้ว อาจารย์เก่งกิจมองว่าเป็นคำพูดที่ไม่มีประโยชน์ เหมือนพูดไปอย่างนั้น ซึ่งทุกคนรับรู้อยู่แล้ว ทำไมต้องมาพูด แต่กลับไม่ตั้งคำถามถึงเงื่อนไขชีวิตของแต่ละคนว่าพวกเขาประสบอะไรกันอยู่
“ในความรู้สึกของผู้คนจำนวนมากต่อสเตตัสนั้นคงรู้สึกว่า มันแย่จนขนาดไม่อยากจะฟังคำพูดที่ไม่มีประโยชน์ เพราะฟังมาจนเบื่อแล้ว”
คนที่หลุดพ้นจากสังคมเหลื่อมล้ำ กลับปกป้องความเหลื่อมล้ำเสียเอง
อาจารย์เก่งกิจมองว่า สังคมที่เหลื่อมล้ำมากๆ เวลาใครก็ตามที่ประสบความสำเร็จขึ้นมาได้ อาจจะรู้สึกว่ามันเป็นเพราะความสามารถ ความอดทน และความขยัน ตรงกันข้ามกับคนอีกประเภทหนึ่งที่เกิดมาก็ประสบความสำเร็จเลย เพราะพ่อแม่รวย ซึ่งมีราว 1 เปอร์เซ็นต์ในสังคม แต่จะมีคนประมาณ 5-10 เปอร์เซ็นต์ที่เกิดมาแบบกลางๆ แต่อยู่ในจังหวะที่เหมาะสม และดิ้นรนขึ้นมาได้
เขาตั้งข้อสังเกตต่อว่าคนกลุ่ม 5-10 เปอร์เซ็นต์ จะพูดเรื่องความประสบความสำเร็จมากที่สุด “เราจะไม่เห็นเลยว่าคนที่รวยมากๆ จะออกมาพูดถึงสิ่งเหล่านี้ เพราะวิธีในการประสบความสำเร็จของพวกเขา คือเกิดมามีนามสกุลอะไร มีมรดกมากเท่าไหร่ ซึ่งสะท้อนโครงสร้างทางสังคมที่เหลื่อมล้ำมากอย่างเห็นได้ชัด”
“ดังนั้น สภาพสังคมที่เป็นลักษณะนี้ทำให้กลุ่มคนที่อยู่กึ่งกลาง มักจะออกมาพูดเรื่องธุรกิจ หรือการทำงานอย่างหนัก จนกลายเป็นกระบอกเสียงปกป้องความเหลื่อมล้ำทางสังคมไปแล้ว”
คนจำนวนหนึ่งมัก wannabe ที่จะเป็นกูรูทางความคิด สังเกตได้จากหนังสือขายดีในปัจจุบันมักจะเป็นแนว ‘ทำอย่างไรให้ชีวิตมีความสุขหรือประสบความสำเร็จ’ ซึ่งหนังสือเหล่านี้ก็เกิดขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์คนกลุ่มนี้ ไม่ใช่กับคนที่รวยหรือจนมากๆ แต่เป็นคนที่คิดว่าตัวเองเอาชนะเรื่องนี้มาได้ เลยพยายามจะสอนคนอื่น
ซึ่งคนเหล่านี้ถูกให้พื้นที่สื่ออย่างมาก เพราะสังคมที่ร่ำรวยรู้ว่าพวกเขาถือเป็นกระบอกเสียง ที่จะทำให้ความเหลื่อมล้ำดูเป็นเรื่องปกติ เป็นคนตีแผ่คนโฆษณาชวนเชื่ออยู่ตลอดในทุกๆ พื้นที่ ผมจึงคิดว่าคนที่เป็น 1% รู้สึกดีที่ปล่อยให้คนเหล่านี้ทำหน้าที่ปกป้องความเหลื่อมล้ำ จนตัวเองไม่จำเป็นต้องออกมาพูดอะไรพวกนี้
สิ่งนี้สะท้อนว่ารัฐสวัสดิการเป็นสิ่งสำคัญ?
อาจารย์เก่งกิจกล่าวว่า เรื่องรัฐสวัสดิการในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กลายเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะคนจำนวนมากในสังคมไม่สามารถที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้นได้ด้วยการทำงานหนักตามที่คนกลุ่มหนึ่งระบุ
เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเขาทำงานหนักอยู่แล้ว ไม่สามารถร่ำรวยด้วยเส้นทางลัด ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาทำได้คือการเรียกร้องประชาธิปไตย ซึ่งเป็นการตอบโจทย์ของคนส่วนใหญ่ แต่ผู้ที่มีฐานะอยู่แล้วก็จะไม่ต้องการรัฐสวัสดิการ
รวมถึงพนักงานที่มีเงิน 50,000 บาทขึ้นไป อาจมองว่าก็เอาเงินไปลงทุน ซื้อหุ้นดีกว่า ทำไมต้องเรียกร้อง ฉะนั้นแล้ว การเรียกร้องรัฐสวัสดิการเกิดขึ้นบนฐานของประชาชนส่วนใหญ่ในสังคม ที่ไม่มีโอกาสมีชีวิตที่ดีเลย
“จะทำงานหนักก็ทำไป จะอวดรวยก็อวดไป แต่อย่ามาบอกคนอื่นว่าต้องทำงานหนัก ทั้งที่ไม่รู้อย่างแท้จริงว่าเงื่อนไขชีวิตพวกเขาเป็นอย่างไร ซึ่งเป็นปัญหาของคนที่ชอบเที่ยวสอนคนอื่นท่ามกลางสังคมที่เหลื่อมล้ำ จนความรู้สึกรำคาญของคนโดยองค์รวมปะทุออกมาอย่างที่เห็นกัน” อาจารย์เก่งกิจ ทิ้งท้าย