เข้าสู่ศึกการอภิปรายไม่ไว้วางในในวันที่ 2 โดยในช่วงบ่ายวันนี้ (17 กุมภาพันธ์) วิโรจน์ ลักขณาดิศร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้ขึ้นอภิปรายไม่ไว้วางใจต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กับ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยครอบคลุมประเด็นการจัดการสถานการณ์ COVID-19 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การจัดการสั่งจองวัคซีน COVID-19
วิโรจน์ กล่าวถึงการจัดการสถานการณ์ COVID-19 ของรัฐบาลที่มีความผิดพลาด จนเป็นต้นตอของการแพร่ระบาด ทั้งในกรณีของสนามมวย ทหารอียิปต์ ด่านท่าขี้เหล็ก ฯลฯ โดยวิโรจน์กล่าวเสริมว่า ทั้งหมดเกิดจากความชะล่าใจในการจัดการสถานการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การให้สัมภาษณ์และคำพูดของ อนุทิน ที่มีการกลับไปกลับมา ตลอดจนพฤติกรรมการข่มขู่บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข
ทั้งนี้ วิโรจน์เสนอว่า “(การจัดการปัญหา) วัคซีนไม่ใช่แค่เรื่องของการป้องกันโรค แต่ความสำคัญของมันคือการกอบกู้เศรษฐกิจ และการเยียวยาปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชน เราจึงไม่แปลกใจประเทศอื่นจึงมีวิสัยทัศน์ ในการเร่งฉีดวัคซีนให้กับประชาชนของเขา” ในขณะที่รัฐบาลไทย มีความล่าสช้าในการตัดสินใจ ทำให้ ณ ปัจจุบัน ยังไม่มีวัคซีนเพื่อฉีดประชาชน
ขณะการอภิปราย วิโรจน์ได้ชี้ให้เห็นว่า เดิมรัฐบาลไม่ได้มีแผนที่จะกระจุกความเสี่ยง ในการสั่งจองวัคซีนไว้กับทางบริษัท AstraZeneca จำนวน 61 ล้านโด๊ส ที่เดียว แต่รัฐบาลได้มีการแบ่งการสั่งจองวัคซีนกับทาง AstraZeneca จำนวน 26 ล้านโด๊ส สัญญาทวิภาคีอื่นๆ 13 ล้านโด๊ส และจาก COVAX 26 ล้านโด๊ส รวมทั้งสิ้น 65 ล้านโด๊ส แต่สุดท้าย รัฐบาล ภายใต้การดูแลของ อนุทินในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี และผู้อำนวยการ ศบค. กลับเปลี่ยนการตัดสินใจไปสั่งจองวัคซีน COVID-19 กับทาง AstraZeneca เพิ่ม 35 ล้านโด๊ส รวมกับของเดิมอีก 26 ล้านโด๊ส เป็น 61 ล้านโด๊ส
ยิ่งไปกว่านั้น วิโรจน์ยังได้กล่าวเสริมอีกว่า รัฐบาลเปลี่ยนมติในวันที่ 5 มกราคม พ.ศ.2564 ให้หาวัคซีนจาก Sinovac มาแก้ขัดจำนวน 2 ล้านโด๊ส เนื่องจากยังไม่มีวัคซีนจากทาง AstraZeneca ที่จะถ่ายทอดเทคโนโลยีมายังไทย โดยรัฐบาลอนุมัติงบประมาณ 1,228 ล้านบาท เพื่อสั่งจองวัคซีนของจีน และเปลี่ยนแผนว่าจะฉีดให้ครอบคลุมประชาชนภายใน พ.ศ.2564 จากเดิมที่วางแผนไว้ว่าจะครอบคลุมภายใน พ.ศ.2566 ทั้งนี้ วิโรจน์ตั้งข้อสังเกตว่า เพราะเหตุใด ทำไมรัฐบาลถึงไม่สั่งจองวัคซีนของจีนจากทาง Sinopharm ซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่า Sinovac หรืออาจมีการเอื้อผลประโยชนืให้บางบริษัทที่ถือหุ้น 15 เปอร์เซ็นต์ใน Sinovac หรือไม่
โดยในกรณีการไม่เข้าร่วมโครงการ COVAX วิโรจน์กล่าวว่า รัฐบาลไทยยื่นขอพิจารณาเข้าร่วม COVAX ในวันที่ 9 กรกฎาคมจริง แต่กว่าจะมีการจัดตั้งคณะกรรมการทำงานในไทย ก็ใช้เวลาล่วงเลยไปถึง 2 เดือน ทำให้ไทยตัดสินใจได้ล่าช้า จนจัดหาวัคซีนไม่ทัน จึงทำให้เห็นว่า อนุทินไม่มีความจริงใจ ต้องรอให้ประชาชนออกมาตั้งคำถาม อนุทินจึงค่อยออกมาเปิดเผยว่าตนเคยพิจารณาการเข้าร่วม COVAX มาแล้ว แต่ก็ล่วงเลยมาแล้วกว่า 7 เดือน กว่าจะเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวกับประชาชน โดยในปัจจุบัน หลังจากที่ไทยไม่เข้าร่วม COVAX ไทยกลับต้องมานั่งพิจารณาการเข้าร่วม COVAX ใหม่อีกรอบ
ทั้งนี้ วิโรจน์กล่าวว่า การไม่เข้าร่วม COVAX ของรัฐบาลไทย ทำให้ไทยมีกำลังในการเจรจาต่อรองในการซื้อวัคซีน COVID-19 ได้น้อยลง ตัวอย่างเช่น COVAX สามารถซื้อวัคซีนจาก AstraZeneca ในราคา 3 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 90 บาท) ต่อโด๊ส ในขณะที่ไทยต้องจ่ายในราคา 5 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 150 บาท) ในอีกทางหนึ่ง ทางอินเดียได้เสนอขายวัคซีนของ AstraZeneca ในราคาเท่าทุน แต่รัฐบาลไทยกลับปฏิเสธ โดยทางกระทรวงการต่างประเทศได้ออกมาแถลงว่า กระทรวงได้ส่งเรื่องให้หน่วยงานหนึ่งพิจารณาแล้ว โดยวิโรจน์สันนิษฐานว่า อาจเป็น ศบค. เอง ที่ตัดสินใจไม่ซื้อวัคซีน AstraZeneca ที่ผลิตในอินเดีย
ส่วนในการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนของ AstraZeneca มายังบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ วิโรจน์ตั้งคำถามว่า เพราะเหตุใด ทั้งๆ ที่ไทยใช้วิธีการถ่ายทอดเทคโนโลยี ไม่เหมือนบางประเทศที่ใช้วิธีัการนำเข้า แต่ไทยเองกลับได้วัคซีนล่าช้า และไม่ทราบเวลาแน่ชัดว่า เมื่อใดไทยจะได้รับวัคซีนกันแน่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทางสหภาพยุโรป (EU) ได้ทำการระงับการส่งออกวัคซีนของ AstraZeneca ออกนอกสหภาพยุโรป เพราะ AstraZeneca ผลิตและจัดส่งวัคซีนในยุโรปเองได้ล่าช้า ทำให้ประเทศนอกยุโรปจำเป็นจะต้องรอวัคซีนของทางบริษัทต่อไป
ในทำนองเดียวกัน วิโรจน์กล่าวถึงกรณีการถ่ายทอดเทคโนลยีจาก AstraZeneca มายังบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ เพิ่มเติมอีกว่า รัฐบาลได้มีการอุดหนุนด้วยงบประมาณ 600 ล้านบาท เพื่อให้ทาง AstraZeneca เลือกสยามไบโอไซเอนซ์ เป็นผู้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี และผลิตวัคซีนในไทย ทั้งๆ ที่สยามไบโอไซเอนซ์เอง ถูกจัดตั้งขึ้นมาใหม่ ไม่มีประสบการณ์ในการผลิตวัคซีนมาก่อน นี่จึงอาจทำให้ประชาชนตกอยู่ในความเสี่ยง
ยิ่งไปกว่านั้น วิโรจน์ยังได้เสนอข้อมูลว่า การให้งบอุดหนุนบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ของรัฐบาล จำนวน 600 ล้านบาทนั้น ดันตกไปเป็นค่าจัดซื้อวัตถุดิบกว่า 430 ล้านบาท วิโรจน์ตั้งคำถามเพิ่มเติมว่า งบ 430 ล้านนี่ ควรเป็นเงินที่ทางบริษัทเอกชนจัดหาเองหรือไม่ เพราะภายหลัง พ.ศ.2565 นโยบายการไม่ทำกำไรกับวัคซีนจะหมดลง และหลังการยุติลงของการแพร่ระบาด COVID-19 บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ จะสามารถทำการค้ากำไรกับวัคซีน COVID-19 ที่ตนผลิตได้
หลังจากวิโรจน์ได้จบการอภิปรายลง พล.อ.ประยุทธ์ ได้ขึ้นให้คำตอบว่า ตนมีความตั้งใจในการตัดสินใจสั่งจองวัคซีน COVID-19 โดยไทยมีสถานการณ์ดีกว่าประเทศอื่นๆ หลายประเทศ รัฐบาลได้ดูแลในทุกภาคส่วน ปัญหาอะไรที่เกิดขึ้นก็ต้องแก้กันไป โดยตนขอให้เห็นใจคนทำงาน ขอให้มีความร่วมมือร่วมใจกัน โดยในประเด็นว่า วัคซีนจะได้รับเร็วไปหรือช้าไป ขอให้ไม่ต้องพูดถึง เพราะตนทำดีที่สุดเท่าที่ทำได้ และไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยไทยมีแผนการจัดการวัคซีน ทั้งนี้ ไทยไม่สามารถรับวัคซีนได้ทันที แต่ไทยจะมีบริษัทผลิตวัคซีนเอง โดย พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า มีคนไทยจำนวนเกือบ 80 เปอร์เซ็นต์ที่พร้อมฉีดวัคซีน ไม่อยากฉีด 10 เปอร์เซ็นต์ และยังลังเล 10 เปอร์เซ็นต์
ภายหลังจากการแถลงของ พล.อ.ประยุทธ์ อนุทิน ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ขึ้นตอบคำถามต่อว่า ข้ออภิปรายในบางประเด็นนั้น มีความคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เพราะเป็นเพียงข้อมูลที่ได้มาจากโซเชียลมีเดีย โดยตนขอยืนยันว่า ในระยะแรกภายในเดือนกุมภาพันธ์ ไทยจะได้รับวัคซีนจากจีน 2 แสนโด๊ส ตามมาด้วยระยะสอง ช่วงเดือนมีนาคม จำนวน 8 แสนโด๊ส ระยะ 3 ในเดือนเมษายนอีก 1 ล้านโด๊ส และระยะ 4 เดือนพฤษภาคม หรือต้นเดือนมิถุนายน ที่จะผลิตในไทยเอง หลังการถ่ายทอดเทคโนโลยีจาก AstraZeneca ซึ่งจะได้มีการผลิตและนำส่งให้ประชาชนทั่วประเทศได้อย่างครอบคลุม
อนุทินกล่าวเสริมอีกว่า บริษัทเอกชนหนึ่ง ได้ผสานมายังกระทรวงสาธารณสุขว่า มีเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนที่เหมาะสมกับประเทศไทย โดยมีความเชื่อว่า หากไทยได้เป็นฐานการผลิต วัคซีนนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการช่วยเหลือทั้งชาวไทย อาเซียน และโลก ตนจึงเห็นว่าเป็นเรื่องน่าสนใจ โดยข้อเสนอจาก AstraZeneca กับบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์เป็นการตกลงกันเอง รัฐบาลไทยไม่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจใดๆ
ทั้งนี้ เมื่อเกิดการแพร่ระบาดระลอกใหม่ เมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา ไทยได้รีบตัดสินใจนำวัคซีนจาก Sinovac เข้ามา เพราะแต่เดิม ไทยไม่มีแผนการนำวัคซีนจากจีนเข้ามาอยู่แต่แรกแล้ว แต่ไทยจำเป็นจะต้องจัดการสถานการณ์เฉพาะหน้า เนื่องจาก Sinovac สามารถจัดส่งให้ไทยได้ และควรชื่นชมระบบสาธารณสุขของไทย เพราะไทยมีวัคซีน 63 ล้านโด๊ส ครอบคลุมกลุ่มเสี่ยง ตนขอยืนยันว่า วัคซีนที่จะนำมามอบให้ประชาชน มีความเหมาะสม เพราะไทยจะผลิตเอง และขออย่าให้ดูถูกคนไทยกันเอง
#Brief #อภิปรายไม่ไว้วางใจ #วัคซีน #COVID19 #TheMATTER