วันนี้เมื่อ 105 ปีก่อน คือวันที่ อึ้ง ป้วย เคียม หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘ป๋วย อึ๊งภากรณ์’ บุตรชายชาวจีนโพ้นทะเลในไทย ได้ลืมตาดูโลกขึ้น เมื่อวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ.2459 ตลอดชีวิตของป๋วยได้อุทิศตนเองให้แก่การพัฒนาของไทย ทั้งในแง่การเมือง เศรษฐกิจ และสังคม มรดกและความคิดของป๋วยยังคงตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน
ป๋วยเป็นนักศึกษารุ่นแรก ที่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง เมื่อ พ.ศ.2477 อย่างไรก็ดี ป๋วยได้รับทุนให้ไปศึกษาต่อ ที่วิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์แห่งลอนดอน มหาวิทยาลัยลอนดอน จนกระทั่งป๋วยจบปริญญาเอกที่นั้น ซึ่งเป็นช่วงเดียวกัน กับที่โลกและไทยกำลังประสบอยู่กับวิกฤตสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างไรก็ดี ชีวิตในสหราชอาณาจักรของป๋วยทำให้เขาพบรักกับภรรยาในอนาคตอย่าง มาร์เกรท สมิธ อึ๊งภากรณ์
ในขณะที่รัฐบาลไทย ภายใต้การนำของจอมพลแปลก พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี มีนโยบายนำไทยเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับฝ่ายอักษะ ที่ประกอบไปด้วยญี่ปุ่น เยอรมนี และอิตาลี โดยไทยได้ประกาศสงครามกับประเทศสัมพันธมิตร รวมถึงสหราชอาณาจักร ประเทศที่ป๋วยกำลังศึกษาร่ำเรียนปริญญาใน พ.ศ.2485 อย่างไรก็ดี ยังมีกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายของจอมพลแปลกดังกล่าว อันเป็นที่มาของการประกาศจัดตั้งกลุ่ม ‘เสรีไทย’ เช่นเดียวกันกับในสหราชอาณาจักรเอง ที่เสรีไทยได้ถูกจัดตั้งขึ้น
รัฐบาลเรียกคนไทยในสหราชอาณาจักรกลับประเทศ แต่ป๋วยและชาวไทยอีก 36 คนปฏิเสธคำสั่งดังกล่าว ป๋วยสมัครเข้าร่วมเป็นทหารในกองทัพบกสหราชอาณาจักร ด้วยยศร้อยเอก ภายใต้ชื่อจัดตั้งว่า ‘เข้ม เย็นยิ่ง’ ป๋วยปฏิบัติภารกิจด้านการข่าว ด้วยการกระโดดร่มแบบสุ่ม เพื่อหาทางในการทำภารกิจรับส่งวิทยุ เขาถูกจับตัวโดยเจ้าหน้าที่และชาวบ้านของไทยในชัยนาท จากข้อหาทรยศชาติ จารกรรม จากการเข้าร่วมกองทัพของศัตรูสงคราม
อย่างไรก็ดี ป๋วยได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ไทยที่อยู่ในเสรีไทย เขาได้เข้าพบกับปรีดี พนมยงค์ หัวหน้าคณะเสรีไทยในไทย ทำให้ป๋วยสามารถส่งวิทยุจากไทยไปยังฐานทัพของสหราชอาณาจักรในอินเดียได้สำเร็จ ภารกิจดังกล่าวทำให้ทางการของสหราชอาณาจักรยอมรับกลุ่มเสรีไทย ซึ่งมีส่วนอย่างมากที่ทำให้ไทยเองไม่ใช่ผู้แพ้ หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง
ใน พ.ศ.2492 ป๋วยเดินทางกลับมายังประเทศไทยอีกครั้ง เขาเลือกที่จะเข้ารับราชการในตำแหน่งเศรษฐกร กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ด้วยเงินเดือน 1,600 บาท ป๋วยเข้ารับราชการจนได้เลื่อนขั้นไปเป็นรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยใน พ.ศ.2496 อย่างไรก็ดี ในปีเดียวกันนั้น ป๋วยถูกปลดออกจากตำแหน่งดังกล่าว จากการปฏิเสธการทำตามคำสั่ง ที่ผิดต่อข้อบังคับของธนาคารแห่งประเทศไทย ของ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ป๋วยกลับมารับตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศอีกครั้งใน พ.ศ.2502 อย่างไรก็ดี ป๋วยมีบทบาทอย่างมากในการผลักดันการใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ทั้งนี้ ป๋วยได้รับรางวัลแมกไซไซเมื่อ พ.ศ.2508 ในสาขาการทำงานภาครัฐ ด้วยคำประกาศเกียรติคุณว่า “เป็นผู้ว่าการธนาคารกลางที่มีความสามารถดีเด่นคนหนึ่งของโลก… การกระทำของป๋วยยังเป็นแรงบันดาลใจ สำหรับข้าราชการผู้ขยันขันแข็ง ป๋วยผู้ถือได้ว่า ความเรียบง่าย คือความงาม และความชื่อสัตย์สุจริต คือ คุณความดีสูงสุดของชีวิตข้าราชการ…”
ป๋วยยังเข้าดำรงตำแหน่งเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ใน พ.ศ.2516 จนกระทั่งเมื่อ พ.ศ.2519 เมื่อเกิดเหตุการณ์การล้อมสังหารนักศึกษาธรรมศาสตร์ ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ป๋วยจำเป็นจะต้องเดินทางออกนอกประเทศไทย เนื่องจากถูกไล่ล่าจากผู้สนับสนุนฝ่ายขวา เขาลี้ภัยไปอาศัยอยู่ที่บ้านในอังกฤษ ก่อนจะล้มป่วยด้วยโรคเส้นเลือดสมองแตก ตลอดชีวิตที่เหลือของป๋วย เขาเดินทางกลับมาเยี่ยมบ้านเกิดของตนเองเพียง 4 ครั้ง ป๋วยเสียชีวิตลงอย่างสงบในวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ.2542 ที่บ้านชานกรุงลอนดอน สิริอายุรวม 83 ปี
ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่า ถึงแม้ว่าป๋วยจะมีภาพของการเป็นผู้นำในด้านเสรีนิยมประชาธิปไตย แต่ป๋วยในฐานะเทคโนแครต กลับทำงานรับใช้รัฐบาลเผด็จการทหารหรือไม่ โดยสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ เคยวิจารณ์ป๋วยว่า การทำงานของป๋วยภายใต้รัฐบาลสฤษดิ์และถนอม คือ ข้ออ่อนของเสรีนิยมในไทย ที่ถึงแม้จะยืนยันในเรื่องหลักการเสรีนิยม แต่ก็ยอมทำงานภายใต้ระบอบเผด็จการ อย่างไรก็ดี จอน อึ๊งภากรณ์ บุตรชายของป๋วย ออกมาให้ความเห็นว่า ในยุคสมัยนั้น ป๋วยเองไม่มีทางเลือก ถึงแม้ว่าพ่อของเขาจะไม่ชอบระบอบเผด็จการ แต่ป๋วยเองก็มองสฤษดิ์แยกออกเป็นสองด้าน คือ สฤษดิ์ยังรับฟังและให้โอกาสในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจ แต่ในทางกลับกัน ป๋วยก็กล้าจะวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของเผด็จการโดยตรง
คำวิจารณ์ต่อการทำงานของป๋วย ภายใต้รัฐบาลของเผด็จการทหาร ยังคงถูกหยิบยกมาเป็นประเด็นถกเถียงกันอยู่เรื่อยมา อย่างไรก็ดี ใน พ.ศ.2514 ขณะที่จอมพลถนอม กิตติขจร ได้ทำการรัฐประหารยึดอำนาจตนเอง ป๋วยได้เขียนจดหมาย โดยใช้ชื่อรหัสสมัยเขาที่ยังอยู่ในเสรีไทยว่า ‘เข้ม เย็นยิ่ง’ ส่งถึงผู้ใหญ่บ้านชื่อ ‘ทำนุ เกียรติก้อง’ หรือที่หมายถึงจอมพลถนอม เพื่อเรียกร้องให้จอมพลถนอมคืนอำนาจให้แก่ประชาชน และจัดให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว สร้างความไม่พอใจแก่คณะรัฐประหารเป็นอย่างมาก โดยตอนหนึ่งในจดหมายระบุว่า “ได้โปรดเร่งรัดให้มีกติกาหมู่บ้านขึ้นเถิดโดยเร็วที่สุด ในกลางปี 2515 นี้หรืออย่างช้าก็อย่าให้ข้ามปีไป โปรดอำนวยให้ชาวบ้านไทยเจริญมีสิทธิเสรีภาพตามหลักประชาธรรม สามารถเลือกตั้งสมัชชาขึ้นโดยเร็ว” ป๋วยกลายเป็นข้าราชการระดับสูงไม่กี่คนของไทย ที่กล้าวิจารณ์อำนาจรัฐ โดยเฉพาะกองทัพ จดหมายฉบับนี้เป็นหนึ่งในตัวแปรที่ก่อให้เกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ.2516
มรดกทางความคิดที่ป๋วยทิ้งเอาไว้ ที่นอกจากแนวคิด และการทำงานเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชนแล้วนั้น ยังมีแนวคิดที่ถูกพูดถึงเรื่อยๆ อย่าง ‘จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน’ ที่ป๋วยพยายามเรียกร้องรัฐสวัสดิการ เพื่อเป็นหลักประกันทางสังคม และคุณภาพชีวิตของประชาชน บนพื้นฐานที่มนุษย์พึงมีพึงได้ ตลอดจนแนวคิด ‘สันติประชาธรรม’ ที่ว่าด้วยสังคมในอุดมคติที่เราควรไปให้ถึง อันประกอบไปด้วย สมรรถภาพ เสรีภาพ ความยุติธรรม และความเมตตากรุณา ประกอบกันกับประชาธรรม คือ สิทธิเสรีภาพแบบธรรมดาๆ และการมีส่วนร่วมในการกำหนดชะตากรรมของสังคม นำไปประกอบกับหลักการประชาธิปไตย อันจะทำให้เกิดสังคมอันสงบสันติได้
อ้างอิงจาก
https://www.facebook.com/Puey100/posts/895654643809134/
https://tu.ac.th/thammasat-2020-puey-ungphakorn-day
https://www.matichon.co.th/politics/news_67453
https://www.matichon.co.th/prachachuen/news_6816
https://www.psds.tu.ac.th/blank
http://irem2.ddc.moph.go.th/…/Thailan…/From_Womb_To_Tomb.pdf