เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าประเทศของเรากำลังเผชิญหน้ากับ COVID-19 สายพันธุ์อังกฤษอย่างเต็มตัว สิ่งที่ต้องเตรียมรับมือหลังจากนี้คงไม่พ้นการแพร่ระบาดที่จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ปัญหาการขาดแคลนวัคซีน ซึ่งท้ายที่สุด มันอาจนำมาสู่การล็อคดาวน์ประเทศอีกครั้ง หากสถานการณ์ยังไม่สามารถควบคุมได้
ที่ผ่านมา หลายคนน่าจะเคยได้ยินชื่อเสียงของ COVID-19 สายพันธ์ุอังกฤษมาบ้าง ไม่ว่าจะเป็นในฐานะ ‘สายพันธ์ุกวาดล้างโลก’ หรือ ‘สายพันธุ์ที่ติดง่ายที่สุด’ ซึ่งความจริงแล้ว COVID-19 สายพันธุ์นี้มีรายละเอียดยิบย่อยมากมาย ที่ทั้งเหมือน และแตกต่างจากสายพันธุ์อื่นๆ ที่ระบาดก่อนหน้านี้ สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับ COVID-19 สายพันธ์ุอังกฤษมีอะไรบ้างนั้น The MATTER จะสรุปคร่าวๆ ให้ฟัง
COVID-19 สายพันธุ์อังกฤษ หรือ B.1.1.7 ถูกพบเป็นครั้งแรกในพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของอังกฤษ เมื่อเดือนกันยายน ค.ศ.2020 โดยไม่มีใครคาดคิดว่ามันจะกลายเป็นสายพันธ์ุหนึ่งแพร่ระบาดไปทั่วโลกอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่ถึงครึ่งปี
สิ่งที่น่ากังวลคือ COVID-19 สายพันธุ์ B.1.1.7 มีการกลายพันธุ์ในลักษณะพิเศษ โดยมีการเปลี่ยนแปลงบริเวณปุ่มโปรตีน ซึ่งเป็นส่วนที่ไวรัสใช้เพื่อยึดเกาะกับเซลล์ร่างกายของมนุษย์ ส่งผลให้สายพันธ์ุนี้แพร่กระจายเชื้อจากคน สู่คนได้รวดเร็วยิ่งขึ้นราวๆ 70% ขณะที่งานวิจัยของกระทรวงสาธารณสุขอังกฤษคาดการณ์ไว้ที่ 30-50% ส่วนนายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิกของไทย ระบุว่า ไวรัสชนิดนี้มีการแพร่กระจายง่ายกว่าไวรัสชนิดอื่นๆ 1.7 เท่า
นอกจากความรวดเร็วในการแพร่เชื้อที่เพิ่มมากขึ้น งานวิจัยของสาธารณสุขอังกฤษ (Public Health England) และมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮม (University of Birmingham) ยังแสดงหลักฐานให้เห็นว่า B.1.1.7 สร้างจำนวนไวรัสในร่างกายผู้ติดเชื้อในปริมาณที่สูงมาก แม้จะไม่แสดงอาการป่วยใดๆ ก็ตาม นั่นหมายว่าโอกาสในการแพร่กระจายเชื้อก็ยิ่งทวีคูณมากไปขึ้น ซึ่งตรงกับข้อมูลที่หมอยง แถลงเมื่อวันที่ 7 เมษายนที่ผ่านมาว่า ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้จะส่งผลให้ประเทศไทยต้องเผชิญหน้ากับการแพร่ระบาดที่อาจจะมากกว่าปี 2020 ถึง 170 เท่า
อย่างไรก็ดี แม้ว่า COVID-19 สายพันธ์ุ B.1.1.7 ดูจะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง แต่หมอยงเปิดเผยว่า ระดับความรุนแรงของ B.1.1.7 นั้นไม่ได้มากไปกว่าสายพันธุ์อื่นๆ และยังอยู่ในจุดที่สามารถรับมือได้ ซึ่งข้อมูลดังกล่าว ขัดกับข้อมูลบางส่วนที่งานวิจัยต่างประเทศเปิดเผยออกมา
สำนักข่าว Aljazeera ระบุว่า ผู้เชี่ยวชาญหลายคนออกมาเตือนว่า COVID-19 สายพันธุ์ใหม่นี้ อาจส่งให้ผลผู้ป่วยมีโอกาสเสียชีวิตมากขึ้น 30% ขณะที่งานวิจัยของมหาวิทยาลัยบริสตอล (University of Bristol) และมหาวิทยาลัยเอ็กซิเตอร์ (University of Exeter) ในสหราชอาณาจักร ระบุว่าการติดเชื้อ COVID-19 สายพันธุ์นี้ อาจส่งผลให้ความเสี่ยงในการเสียชีวิตเพิ่มขึ้น 64%
นักระบาดวิทยาจากทั้งสองมหาวิทยาลัย ได้เปรียบเทียบอัตราการเสียชีวิตระหว่างผู้ที่ติดเชื้อสายพันธ์ุ B.1.1.7 และผู้ที่ติดเชื้อสายพันธุ์อื่น โดยใช้จำนวนผู้ป่วย 55,000 คนเป็นตัวตั้ง ก่อนจะพบว่ามีคนเสียชีวิตจากการติดเชื้อสายพันธ์ุ B.1.1.7 จำนวน 227 ราย มากกว่าผู้ติดเชื้อสายพันธุ์อื่นๆ ซึ่งอยู่ที่ 141 ราย ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าอัตราผู้เสียชีวิตจาก COVID-19 เพิ่มขึ้นจาก 2.5 เป็น 4.1 ต่อ 1,000 คน เมื่อมีตัวแปร B.1.1.7 เข้ามาเกี่ยวข้อง
และอีกหนึ่งประเด็นที่หลายคนอยากรู้กันมากที่สุด คงไม่พ้นเรื่องวัคซีน AstraZeneca และวัคซีน Sinovac ที่ไทยนำเข้ามา ว่ามีประสิทธิภาพครอบคลุม COVID-19 สายพันธุ์นี้หรือไม่
สำหรับ AstraZeneca ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า วัคซีนมีประสิทธิภาพลดลงเมื่อต้องเผชิญหน้ากับ B.1.1.7 แต่ยังป้องกันได้อยู่ โดยอ้างอิงจากข้อมูลการทดลองทางคลินิกระยะที่ 2/3 ของสหราชอาณาจักร(UK) ที่ระบุว่า ประสิทธิภาพการป้องกันของ AstraZeneca ต่อ COVID-19 สายพันธุ์ทั่วไปคือ 77.3% ขณะที่ประสิทธิภาพป้องกันสายพันธุ์ B.1.1.7 อยู่ที่ 61.7%
ในส่วนของวัคซีนป้องกัน COVID-19 ของบริษัท Sinovac วารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์ (New England Journal of Medicine : NEJM) เปิดเผยว่า ภูมิคุ้มกันของ Sinovac ตอบสนองไวรัสสายพันธุ์นี้ไม่ดีเท่าไหร่นัก ซึ่ง ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักวิจัยด้านไวรัสวิทยา ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC) ก็ออกมาแนะนำมาฉีดวัคซีนของ AstraZeneca จะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า
ปัจจุบัน COVID-19 สายพันธุ์ B.1.1.7 ได้แพร่ระบาดไปมากกว่า 50 ประเทศทั่วโลก อาทิ เดนมาร์ก ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ แคนาดา เลบานอน เนเธอร์แลนด์ สเปน อิตาลี เป็นต้น ประเทศไทยเอง ก็เป็นอีกหนึ่งประเทศล่าสุดที่ต้องรับมือกับการแพร่ระบาดที่รุนแรงที่สุดอีกครั้งหนึ่ง ท่ามกลางการตั้งคำถามของประชาชนถึงมาตรการป้องกัน การเปิดเสรีนำเข้าวัคซีน รวมถึง ‘ต้นตอ’ ของการนำเข้าเชื้อสายพันธุ์นี้ ที่ไม่แน่ชัดมาเกิดขึ้นได้อย่างไร
อ้างอิงจาก
https://www.medicalnewstoday.com/…/covid-19-is-the-b-1…
https://www.acc.org/…/05/18/20/efficacy-of-chadox1-ncov-19
https://www.cidrap.umn.edu/…/astrazeneca-covid-vaccine…
https://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMc2103022
https://www.aljazeera.com/…/kent-coronavirus-variant…
https://www.theguardian.com/…/has-everyone-in-kent-gone…
https://www.prachachat.net/spinoff/health/news-644254
https://www.bbc.com/thai/features-55393038
https://news.thaipbs.or.th/content/303145
https://www.pptvhd36.com/…/%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0…/145194
https://www.bangkokpost.com/…/uk-covid-19-strain-in…
https://web.facebook.com/photo?fbid=4287198497986706&set=pcb.4287198851320004