ยังคงต้องจับตากันเรื่อยๆ สำหรับการระบาดของ COVID-19 สายพันธุ์อินเดีย หรือสายพันธุ์เดลต้า ที่ล่าสุดแพร่กระจายไปมากกว่า 10 จังหวัดทั่วประเทศไทยแล้ว และยังน่าห่วงขึ้นไปอีก หลังการศึกษาของสกอตแลนด์เปิดเผยว่า COVID-19 สายพันธุ์อินเดียเพิ่มความเสี่ยงในการต้องเข้าโรงพยาบาลมากกว่าสายพันธุ์อังกฤษถึง 2 เท่า
ผลการศึกษาที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร The Lancet ระบุว่า ท่ามกลางประชากร 5.4 ล้านคนในสกอตแลนด์ พบผู้ติดเชื้อ COVID-19 ทั้งหมด 19,543 ราย และมี 377 รายที่ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล โดยในผู้ป่วย 19,543 ราย พบว่าเป็นการติดเชื้อสายพันธุ์อินเดีย 7,723 ราย และมีผู้ป่วยที่ต้องเข้าโรงพยาบาล 134 ราย ซึ่งนับเป็น 1 ใน 3 ของจำนวนผู้เข้าโรงพยาบาลทั้งหมด (ข้อมูลวันที่ 1 เมษายน – 6 มิถุนายน)
คริส โรเบิร์ตสัน (Chris Robertson) ศาสตราจารย์ด้านระบาดวิทยาสาธารณสุข จากมหาวิทยาลัยสแตรธไคลด์ (University of Strathclyde) ระบุว่า เมื่อมีองค์ประกอบเรื่องของวัยและโรคประจำตัวร่วมด้วย พบว่า COVID-19 สายพันธุ์อินเดียส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น แต่ถึงเช่นนั้น การฉีดวัคซีนยังสามารถลดการติดเชื้อและลดระดับความรุนแรงของโรคได้
“หากคุณมีผลตรวจเป็นบวก แล้วรับวัคซีนหลังจากนั้น จะช่วยลดความเสี่ยงในการเข้าโรงพยาบาลได้ประมาณ 70%” โรเบิร์ตสันกล่าว
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าวัคซีนจะยังได้ผล แต่การศึกษาชี้ว่า ประสิทธิภาพของวัคซีนในการต้านสายพันธุ์อินเดียอาจต่ำกว่าสายพันธุ์อังกฤษ จากการทดลองพบว่า การฉีดวัคซีนไฟเซอร์ครบ 2 เข็ม สามารถป้องกันการติดเชื้อสายพันธุ์อินเดียได้ 79% ขณะที่ป้องกันสายพันธุ์อังกฤษได้ 92% ส่วนวัคซีนแอสร้าเซเนก้าสามารถป้องกันสายพันธุ์อินเดียได้ 60% ประสิทธิภาพน้อยกว่าป้องกันสายพันธุ์อังกฤษซึ่งอยู่ที่ 73%
ขณะที่ ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักไวรัสวิทยา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ของไทย เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงข้อมูล COVID-19 สายพันธุ์อินเดีย ต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดในอังกฤษ โดยระบุว่า ขณะนี้สายพันธุ์อินเดียได้กลายเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดในประเทศ และมีผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ดังกล่าวมากกว่า 33,000 คน
ส่วนวัคซีนที่อังกฤษใช้ฉีดให้กับประชาชนมี 2 ตัวหลักๆ คือ ไฟเซอร์และแอสร้าเซนเนก้า ซึ่งพบว่ามีผู้ที่ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม ประมาณ 6% ที่ยังติดเชื้อ COVID-19 และมีประมาณ 11% ที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ซึ่งถือว่าตัวเลขอยู่ในเกณฑ์ที่ดี และชี้ให้เห็นว่าการฉีดวัคซีนครบโดส สำคัญอย่างมากในการรับมือกับ COVID-19 สายพันธุ์อินเดีย
อย่างไรก็ตาม ดร.อนันต์ ระบุว่า ตัวเลขของผู้เสียชีวิตกลับไม่ทำให้สบายใจเท่าที่ควร เพราะจำนวนผู้เสียชีวิตจาก COVID-19 สายพันธุ์อินเดีย 42 ราย มีผู้ที่ได้รับวัคซีนครบโดสแล้วถึง 12 รายหรือคิดเป็น 28.5% ขณะที่มี 7 รายที่เป็นผู้รับวัคซีนเข็มเดียว หมายความจะมีผู้เสียชีวิตหลังจากได้รับวัคซีนแล้วสูงถึง 45.2% ทำให้เกิดความกังวลใจว่าวัคซีนจะควบคุมสายพันธุ์อินเดียได้มากน้อยแค่ไหน หรือมีปัจจัยใดที่เกี่ยวโยงกับการสาเหตุเสียชีวิตนี้หรือไม่ ซึ่งต้องรอผลการศึกษากันต่อไป
แต่สิ่งที่เราพอจะสรุปได้จากการศึกษาเหล่านี้คือ การเร่งปูพรมฉีดวัคซีน 1 เข็มอาจไม่เพียงพอต่อการรับมือ COVID-19 สายพันธุ์อินเดียอีกต่อไป โดยเฉพาะเมื่อประเทศไทยเรากำลังเผชิญหน้ากับสายพันธุ์ดังกล่าว และมีแนวโน้มว่าจะกลายมาเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดแทนที่สายพันธุ์อังกฤษ ดังนั้นรัฐบาลอาจต้องเตรียมเปลี่ยนแผนการกระจายวัคซีน เพื่อให้เท่าทันสถานการณ์ และเพื่อให้เกิดการควบคุมอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
อ้างอิงจาก
https://www.independent.co.uk/…/delta-variant-covid…
https://www.reuters.com/…/delta-variant-doubles-risk…/
https://web.facebook.com/photo/?fbid=4488828921156995&set=a.123349811038283