“ทำไมไม่บอกต้ังแต่วันศุกร์?” เชื่อว่านี่คือคำถามที่เกิดในใจของหลายๆ คนต่อมาตรการใหม่ที่เพิ่งประกาศออกมาเมื่อกลางดึกที่ผ่านมา
กลายเป็นสิ่งที่หลายๆ คนตั้งตัวไม่ทัน เมื่อเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้ประกาศมาตรการควบคุม COVID-19 รอบใหม่ออกมา และได้สร้างเสียงวิจารณ์จากผู้คนมากมาย โดยเฉพาะเรื่องการควบคุมพื้นที่และร้านค้าต่างๆ
ตลอดหลายชั่วโมงที่ผ่านมา ได้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมากมาย ต่อมาตรการใหม่ที่ออกมา วันนี้ The MATTER จะมาสรุปเสียงสะท้อนจากผู้คนต่อมาตรการควบคุมโรคและ ‘การสื่อสาร’ จากรัฐบาลในช่วงเวลาที่ COVID-19 กำลังระบาดอย่างหนัก
1) สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในไทยยังอยู่ในภาวะวิกฤตอย่างต่อเนื่อง ถ้านับตั้งแต่การระบาดระลอกใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 จะพบว่ามีผู้ติดเชื้อจำนวน 215,584 และเสียชีวิตสะสม 1,818 คน
2) สัปดาห์ที่ผ่านมา มีการค้นพบคลัสเตอร์ที่ต้องเฝ้าระวังใหม่ๆ ของการแพร่ระบาดในหลายพื้นที่ จำนวนรวมกว่า 110 คลัสเตอร์ทั่วประเทศ ซึ่งดูเหมือนว่าคลัสเตอร์ที่ภาครัฐจะพุ่งความสนใจเป็นพิเศษ คือคลัสเตอร์ไซต์ก่อสร้างที่มีแรงงานติดเชื้อกันเป็นจำนวนมาก
3) ส่งผลให้นายกรัฐมนตรี ต้องเรียกประชุมด่วนเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยนายกฯ ได้แจ้งต่อสื่อมวลชนผ่านไปยังประชาชนว่า จะมีมาตรการใหม่ออกมาซึ่งนายกฯ ‘ไม่เรียกว่าล็อคดาวน์’ แต่จะเน้นควบคุมพื้นที่เป็นจุดๆ ไป
4) สิ่งที่ภาครัฐสื่อสารออกมาหลังการประชุมคือ จะมีการปิดพื้นที่ไซต์ก่อสร้างเป็นเวลา 1 เดือน โดยเบื้องต้น จะให้กระทรวงแรงงานจ่ายเงินชดเชยเยียวยาและดูแลทั้งแรงงานไทยและต่างด้าว มาตรการดังกล่าวจะทดลองใช้เป็นเวลา 1 เดือน
5) แม้ว่ามาตรการนี้ถือเป็นการ ‘บอกล่วงหน้า’ ก่อนที่การล็อคดาวน์ไซต์ก่อสร้างจะเริ่มขึ้นในวันจันทร์ ที่ 28 มิถุนายน แต่ก็มีเสียงกังวลมากมายว่า มาตรการนี้จะควบคุมการแพร่เชื้อได้แค่ไหน และการควบคุมแรงงานจากไซต์ก่อสร้างไม่ให้พวกเขาเดินทางออกนอกพื้นที่นั้นจะตอบโจทย์ได้แค่ไหนบ้าง
6) อย่างไรก็ดี ประเด็นปัญหาใหญ่ก็เกิดขึ้นในกลางดึกช่วงเที่ยงคืนของวันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน เมื่อเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้ออกประกาศมาตรการควบคุมโรครอบใหม่ออกมา โดยบังคับใช้กับ 10 จังหวัด และเริ่มต้นใช้ตั้งแต่วันที่ 28 มิถุนายนนี้
เนื้อหาไม่ได้มีเพียงแค่การล็อคดาวน์ไซต์ก่อสร้างตามที่ประชาชนรู้ล่วงหน้าแต่ยังรวมไปถึงการห้ามผู้ประกอบการร้านค้า ร้านอาหาร ให้ประชาชนทานอาหาร-เครื่องดื่มภายในร้าน โดยสามารถรับกลับไปทานได้ที่อื่นเท่านั้น
อ่านรายละเอียดได้ที่นี่ : https://www.facebook.com/…/a.17358760…/2923338771214839/
7) นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มาตรการห้ามทานอาหารภายในร้านนี้จะถูกบังคับใช้ แต่เคยออกมาแล้วตั้งแต่เมื่อการระบาดระลอกแรก และก็มีการสลับห้าม และย้อนกลับมาอนุญาตให้ทำได้เป็นพักๆ วนลูปไปเรื่อยๆ เมื่อเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสขึ้นมาแต่ละระลอก
8.) ประเด็นสำคัญมากๆ ที่หลายๆ คนออกมาส่งเสียงถึงรัฐคือ ทำไมรัฐถึงไม่สื่อสารถึงมาตรการห้ามทานอาหารภายในร้าน ตั้งแต่การแถลงผลการประชุมเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา? เพราะการออกประกาศมาเช่นนี้ หมายความว่า ร้านค้าต่างๆ จะมีเวลาปรับตัวเพียงแค่ 1 วันเท่านั้น
และถ้าพิจารณาจากความเป็นจริง ผู้ประกอบการร้านค้าหลายร้าน ที่ไม่เคยรู้ประกาศนี้มาก่อน ย่อมได้เตรียมวัตถุดิบ อาหาร เครื่องดื่ม และสิ่งต่างๆ เอาไว้ล่วงหน้าเพื่อเปิดกิจการตามปกติไปแล้ว การยกเลิกสิ่งเหล่านั้นภายในเวลาเพียง 1 วันก็จะทำให้พวกเขาต้อง ‘ทิ้ง’ สิ่งเหล่านั้นไปโดยไม่ได้รับอะไรตอบแทนเลย
เพจร้าน penguin eat shabu โพสต์ความเห็นเอาไว้ว่า นี่อาจจะเป็นการปรับตัวครั้งสุดท้ายของผู้ประกอบกิจการต่างๆ เพราะอาจจะไม่เหลือแรงให้สู้ต่อกันแล้ว
“การปรับตัวเป็นสิ่งจำเป็น แต่มันไม่ใช่เรื่องสนุก การเสียสละอาจเป็นสิ่งจำเป็น พวกเราร่วมเสียสละกันมาตลอดปีครึ่ง มาวันนี้…พวกเราโดนขอให้เสียสละอีกครั้ง พวกเราก็คงปฏิเสธไม่ได้ ครั้งนี้มันหนักมากกันจริงๆ มากกว่าทุกรอบที่ผ่านมา มันอาจจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย แต่มันอาจจะเป็น ฟางเส้นสุดท้ายสำหรับใครหลายคน หรือแม้แต่ร้านเพนกวิ้นฯเองก็เช่นกัน”
9) ก่อนหน้านี้ที่จะมีประกาศฉบับใหม่ สรเทพ โรจน์พจนารัช ประธานชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหาร ให้สัมภาษณ์กับฐานเศรษฐกิจ โดยเขาเชื่อว่า ถ้าหากมีล็อคดาวน์ที่ห้ามทานอาหารในร้านอีกรอบ สิ่งนี้จะทำให้ร้านอาหารพากันปิดกิจการอีกจำนวนมากแน่นอน
“หากล็อกดาวน์ 14-15 วันแล้วไม่จบ จะทำอย่างไร การล็อกดาวน์ควรทำแบบรอบด้านทั้งร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ ทุกอย่าง เพราะการปิดร้านอาหารอย่างเดียว ก็ไม่ทำให้เตียงในโรงพยาบาลว่างลง แต่ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของสาธารณสุขมากกว่า” สรเทพ บอกกับฐานเศรษฐกิจ
10) นอกจากนี้ ยังมีความเห็นต่างๆ ที่น่าสนใจด้วยว่า สิ่งที่รัฐควรออกมาควบคู่กับการประกาศ ‘กึ่งล็อคดาว์น’ เช่นนี้ คือการพูดให้ชัดเจนถึงมาตรการเยียวยาที่จะช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ต้องเดือดร้อนจากคำสั่งเช่นนี้ด้วย
“ในทุกการล็อกดาวน์ ต้องประกาศการ ‘เยียวยา’ ควบคู่กันไปด้วย นี่คือสิ่งที่รัฐที่มีอารยธรรมเขาทำกัน เพราะการล็อกดาวน์คือการ ‘จำกัดสิทธิพื้นฐาน’ คือสิทธิที่จะทำมาหากิน เมื่อสิทธินี้ถูกพรากไปด้วยเหตุผลความจำเป็นบางอย่างโดยน้ำมือของรัฐเอง รัฐก็ต้องประกาศการเยียวยาที่ ‘ได้ส่วน’ กับความเสียหายด้วย ไม่ใช่แค่ให้เงินไม่กี่พันบาทราวกับเอาเงินมาฟาดหัวแล้วก็ไป ยกตัวอย่างเรื่องการประกาศปิดแคมป์คนงานอีกก็ได้ คนงานรับเงินเป็นรายวัน ถ้าห้ามเขาทำงาน นายจ้างที่ไหนจะจ่าย แต่จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีมาตรการออกมาว่าจะเยียวยาคนเหล่านี้ รวมไปถึงนายจ้างอย่างไรและผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างไร เพราะมันซับซ้อนมาก” โตมร ศุขปรีชา นักเขียนและคอลัมนิสต์ ระบุผ่านเฟซบุ๊ก
11) ด้าน ส.ส.เบญจา แสงจันทร์ พรรคก้าวไกล ให้ความเห็นต่อเรื่องนี้ว่า “ประกาศออกมากลางดึก แบบไม่สนใจ ไม่คิด ไม่วางแผนอะไรทั้งนั้น ผู้ประกอบการจะเอาเวลาที่ไหนไปเตรียมตัวทัน รัฐบาลเอาแต่ทำเรื่องล้มเหลวเอาประชาชนเป็นตัวประกัน”
12) โดยสรุปแล้ว มาตรการใหม่ที่ออกมา ได้ส่งผลให้ผู้ประกอบการร้านอาหารได้รับผลกระทบโดยตรง ซึ่งผู้คนมากมายได้ส่งเสียงไปถึงรัฐว่า จำเป็นต้องมีมาตรการเยียวยาออกมาควบคู่กันด้วยหรือไม่ รวมถึงตั้งคำถามกับมาตรการกึ่งล็อคดาวน์ที่ออกมาอย่างกระทันหัน ผู้คนปรับตัว เตรียมตัวไม่ทัน ขณะที่การสื่อสารให้ประชาชนสบายใจว่ารัฐจะช่วยเหลือ ไม่ทอดทิ้งประชาชนนั้น ยังไม่ชัดเจนมากนัก
สิ่งที่ประชาชนต้องการจากการแถลงจากนายกฯ อาจไม่ได้มีแค่มุกตลก หรือเสียงหัวเราะในวงแถลงข่าวยามที่บ้านเมืองวิกฤต แต่อาจจะเป็นมาตรการเยียวยา รวมถึงความช่วยเหลือจากรัฐที่ถูกต้องและทันท่วงที เพราะผู้คนกำลังหมดแรงจากวิกฤตนี้ลงทุกวัน
อ้างอิงจาก
https://www.thansettakij.com/content/covid_19/485454
https://news.thaipbs.or.th/content/305549
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/945501
https://www.pptvhd36.com/…/%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0…/150288
https://www.facebook.com/penguineatshabu/posts/5832207116852391
https://www.facebook.com/tomornsookprecha/posts/4047846375291533
https://twitter.com/BenchaMFP/status/1408858040120463362
#Recap #TheMATTER