น่าจะเป็นข่าวที่ทำให้หลายคนสะเทือนใจไปตามๆ กัน หลังเมื่อวานนี้ มีผู้ติดเชื้อ COVID-19 อย่างน้อย 1 ราย ล้มเสียชีวิตอยู่กลางถนน โดยไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้เข้ารับการรักษา ภาพดังกล่าวทำให้หลายคนต่างตั้งคำถามว่า ประเทศเราเดินทางมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร
นับตั้งแต่เกิดการระบาดคลัสเตอร์สถานบันเทิงเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ยอดผู้ติดเชื้อในประเทศก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ สวนทางกับทรัพยากรสาธารณสุขที่ลดน้อยถอยลง ทั้งบุคลากรแพทย์ และเตียงรักษาผู้ป่วย ส่งผลให้ผู้ติดเชื้อหลายคนเข้าไม่ถึงการรักษาอย่างที่ควรเป็น และต้องเสียชีวิตลงในที่สุด
เชื่อว่าเมื่อดูสถานการณ์ตอนนี้แล้ว สิ่งที่หลายคนอดจะคิดถึงไม่ได้คือ หากไทยเรามีวัคซีนที่มีประสิทธิภาพและครอบคลุมประชากรอย่างทั่วถึงเร็วกว่านี้ เราคงไม่มีผู้ติดเชื้อกว่า 10,000 คน และมีผู้เสียชีวิต 100 รายอย่างเช่นทุกวันนี้
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ส่วนหนึ่งที่ทำให้ประเทศเราเดินทางมาถึงจุดวิกฤต คือการบริหารจัดการของภาครัฐ โดย รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า สถานการณ์ที่เป็นอยู่ เป็นผลจากปัญหาด้านการบริหารและวิชาการที่ดำเนินตลอดครึ่งปี ที่ทำให้เกิดนโยบายและมาตรการด้านสาธารณสุข การควบคุมป้องกันโรค รวมถึงวัคซีน ที่ไม่สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
พร้อมระบุว่า ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นนี้ไม่ควรยอมให้หยวนๆ หรือลืมกันไป แต่กลุ่มคนที่เกี่ยวข้องทั้งระดับบริหาร รวมถึงที่ปรึกษา และคณะทำงานวิชาการทั้งหมด จำเป็นต้องแสดงความรับผิดชอบ และจำเป็นต้องได้รับการปรับเปลี่ยน
ขณะที่ ผศ.ดร.พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กว่า แม้ประเทศของเราจะมีบุคลากรแพทย์ที่เก่งและมีระบบสาธารณสุขที่ดีเป็นอันดับ 6 ของโลก แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ หาก “นโยบายและการบริหารงานของรัฐบาล” ไม่มีความทั่วถึงและไม่มีประสิทธิภาพ ไม่มีการตัดสินใจที่รวดเร็ว โดยไม่ผูกโยงอยู่กับระบบราชการ กฎหมายหรือกฎเกณฑ์ที่เป็นอุปสรรคต่างๆ พร้อมยืนยันว่า ความเสียหายของประเทศและการสูญเสียชีวิตประชาชนมากมายครั้งนี้ควรต้องมีผู้รับผิดชอบ
แม้กระทรวงสาธารณสุขจะยืนยันว่ารัฐบาลพร้อมจะจัดหาวัคซีนให้เพียงพอกับประชาชน แต่ก็ไม่ทันกับสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว ส่วนวัคซีน Sinovac ที่มีในไทย แม้ สธ.จะเอาผลการศึกษาออกมายืนยันว่า Sinovac สามารถป้องกันการติดเชื้อจากสายพันธุ์อัลฟาได้ 90% ป้องกันปอดอักเสบได้ 85% และมีประสิทธิผลต่อสายพันธุ์เดลตาได้ถึง 75%
แต่เมื่อดูตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวัน ประกอบกับข้อมูลการศึกษาอื่นๆ ก็ดูเหมือนว่าวัคซีน Sinovac จะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุดในสถานการณ์เช่นนี้อีกต่อไป เพราะตอนนี้ประเทศเราไม่เพียงแค่ต้องการวัคซีนที่ลดการป่วยหนักหรือตายได้ แต่ต้องการวัคซีนที่ ‘กันติดเชื้อ’ ได้จริง จึงจะช่วยลดทั้งภาระหน้าที่ของแพทย์ และจำนวนเตียงผู้ป่วยในโรงพยาบาลได้อย่างแท้จริง
อีกทั้ง ปัจจุบันหลายๆ โรงพยาบาลประกาศว่าไม่สามารถรับผู้ป่วย COVID-19 ได้อีกต่อไป อย่างเช่น โรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ประกาศว่าเตียงทั้ง 400 เตียงเต็มหมดแล้ว
และไม่เพียงแต่ กทม. เท่านั้น แต่จังหวัดอื่นๆ อย่าง โรงพยาบาลในจังหวัดสุรินทร์ และสงขลาก็ประกาศว่าเตียงสำหรับรับรองผู้ป่วยเต็มหมดแล้วเช่นกัน หลังจากภาครัฐมีนโยบายส่งผู้ป่วยกลับไปรักษาที่ภูมิลำเนาเดิม ซึ่งนี่เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า หากตัวเลขผู้ติดเชื้อยังสูงเช่นนี้ต่อไป แนวทางเช่นนี้ก็อาจจะไม่สามารถใช้ได้อีก และจะยิ่งมีผู้ป่วยถูกทอดทิ้งมากขึ้นไปอีก
อ้างอิงจาก
https://web.facebook.com/pornson.liengboonlertchai/posts/10159745316375979
https://web.facebook.com/thiraw/posts/10222839247282216
https://www.matichon.co.th/covid19/thai-covid19/news_2838586
https://www.prachachat.net/csr-hr/news-718010
https://www.komchadluek.net/news/local/472882
https://mgronline.com/uptodate/detail/9640000070027