COVID-19 สายพันธุ์กลายพันธุ์ โดยเฉพาะสายพันธุ์เดลตา ยังคงแพร่ระบาดอย่างหนักในไทย โดยเฉพาะงานวิจัยใหม่สองชิ้น ที่ระบุว่าวัคซีนของ Sinopharm และ Johnson & Johnson มีประสิทธิภาพลดลง ในการป้องกันผู้ได้รับวัคซีน หากเปรียบเทียบระหว่างเชื้ออู่ฮั่นกับเชื้อเดลตา
งานวิจัยชิ้นแรก ทำการศึกษาประสิทธิภาพของวัคซีน Sinopharm ที่ผลิตขึ้นจากเทคโนโลยีเชื้อตาย โดยทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยศรีชยวรรธนปุระ สภาเทศบาลกรุงโคลัมโบของศรีลังกา และมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดของสหราชอาณาจักร พบว่า ผู้ที่ได้รับวัคซีน Sinopharm มีระดับค่าภูมิคุ้มกันที่ลดลง 1.38 เท่า เมื่อเทียบเชื้อเดลตากับเชื้ออู่ฮั่น
กลุ่มนักวิจัยยังพบอีกว่า วัคซีนของ Sinopharma กระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันได้น้อย โดยจากผลการตรวจเลือดพบว่า ผู้ที่ได้รับวัคซีน Sinopharm กับผู้ที่เคยติด COVID-19 ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนใดๆ กลับมีค่าระดับภูมิคุ้มกันที่ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ งานวิจัยในศรีลังกายังพบว่า วัคซีนของ Sinopharm มีประสิทธิภาพลดลงไปอีก 10 เท่า ในการป้องกันเชื้อเบตา ซึ่งมีข้อสันนิษฐานว่า เชื้อกลายพันธุ์บตานี้ สามารถหลบหลีกวัคซีนได้ดีกว่าเชื้อสายพันธุ์อื่นๆ อย่างไรก็ดี ไทยมีการนำวัคซีนของ Sinopharm เข้ามาใช้เป็นวัคซีนทางเลือก ภายใต้การนำของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์
ในขณะที่งานวิจัยอีกชิ้น จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์กในสหรัฐฯ พบว่า วัคซีนของ Johnson & Johnson ก็มีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อเดลตาลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับเชื้ออู่ฮั่น โดยวัคซีนของ Johnson & Johnson มีประสิทธิภาพลดลงเหลือแค่ 33 เปอร์เซ็นต์ เมื่อพบกับเชื้อเดลตา ขัดแย้งกันกับรายงานจากทาง Johnson & Johnson เอง ที่พวกเขาระบุว่า วัคซีนชนิดโดสเดียวของพวกเขา สามารถป้องกันเชื้อกลายพันธุ์ได้นานหลังฉีดถึง 8 เดือน
วัคซีนของ Johnson & Johnson ถูกพัฒนาขึ้นด้วยเทคโนโลยีไวรัสเวกเตอร์ คล้ายกันกับวัคซีนของ AstraZeneca ที่ถูกใช้อยู่เป็นหลักในประเทศไทย ซึ่งทางการไทยเองก็มีการพิจารณา ถึงการนำวัคซีนของ Johnson & Johnson เข้ามาใช้ฉีดด้วยเช่นกัน โดยหลักฐานจากงานวิจัยทั้ง 2 ชิ้นนี้ ช่วยชี้ให้เห็นว่า วัคซีนที่มีอยู่ในไทยตอนนี้ มีประสิทธิภาพไม่มากพอ ในการป้องกันเชื้อเดลตา ที่กลายเป็นสายพันธุ์ส่วนใหญ่ ซึ่งระบาดในไทยอยู่ ณ ตอนนี้
นพ.มานพ พิทักษ์ภากร หัวหน้าศูนย์วิจัยการแพทย์แม่นยำ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า “เป็นห่วงว่าแผนการจัดหาวัคซีนของไทย อาจต้องพิจารณา J&J vaccine ใหม่อีกที เพราะวัคซีนเข็มเดียวอาจไม่พอ” โดยจากผลการทดลอง ของมหาวิทยาลัยนิวยอร์กทำให้เห็นว่า ผู้ที่ได้รับวัคซีน Johnson & Johnson อาจจะต้องการฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันแบบ mix-and-match กับ mRNA vaccine เช่นเดียวกับ AstraZeneca ในอนาคต
อ้างอิงจาก
https://www.biorxiv.org/content/10.1101/2021.07.19.452771v1
https://www.nytimes.com/2021/07/20/health/coronavirus-johnson-vaccine-delta.html
#Brief #TheMATTER