การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2020 ในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เป็นเวทีในการแสดงความสามารถของนักกีฬาแต่ละชาติ รวมถึงพื้นที่ของความหลากหลาย ทั้งประเด็นความหลากหลายทางเพศ ไปจนถึงผู้ลี้ภัย อย่างไรก็ดี จีนเองได้ใช้เวทีโอลิมปิก เป็นพื้นที่ในการแสดงออก ซึ่งความเป็นชาตินิมของตัวเองด้วย
The MATTER ขอพาคุณไปสำรวจภาพรวม พื้นที่เวทีการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ณ กรุงโตเกียวในครั้งนี้ สถานที่ที่จีนใช้แสดงออก ถึงลัทธิชาตินิยมของพวกเขาอย่างเข้มข้น โดยล่าสุด เพิ่งมีกรณีดราม่าของนักกีฬาปิงปองจีน ที่แพ้เหรียญทองให้แก่นักกีฬาปิงปองญี่ปุ่น จนกลายเป็นกระแสโจมตีว่า นักกีฬาของจีนไม่รักชาติ อย่างไรก็ดี กรณีความรักชาติของจีนกับโอลิมปิกครั้งนี้ ไม่ใช่กรณีเดียวที่เกิดขึ้น
1. “ฉันรู้สึกว่าฉันทำให้ทีมต้องผิดหวัง ฉันขอโทษทุกๆ คน” หลิว ชื่อเหวิน โค้งคำนับขอโทษ พร้อมน้ำตาเอ่อนอง หลังจากที่เธอและคู่หูนักกีฬาปิงปอง แพ้เหรียญทองสำคัญนี้ ไปให้แก่ทีมนักกีฬาของญี่ปุ่น “คนทั้งประเทศรอคอยถึงการแข่งขันรอบสุดท้ายนี้ ผมคิดว่าทีมของจีนไม่สามารถยอมรับผลในครั้งนี้ได้” ซูซิน นักกีฬาในทีมอีกคนกล่าว
2. ความพ่ายแพ้ของหลิวและซู ดูจะทำให้แฟนกีฬาชาวจีนผิดคาดกันทั้งประเทศ เนื่องจากปิงปองมักเป็นกีฬาที่จีนจะชนะ และคว้าเหรียญทองมาอยู่เสมอๆ แต่เหมือนกับความโกรธแค้นในครั้งนี้ จะทวีคูณมากขึ้น เมื่อนักกีฬาที่คว้าเหรียญทองไป กลับเป็นนักกีฬาจากทีมชาติญี่ปุ่น ซึ่งมีความขัดแย้งกับจีนในทางการเมือง และประวัติศาสตร์มายาวนาน
3. บนเว็บไซต์ Weibo ของจีน มีการพูดถึงความพ่ายแพ้ จากการแข่งขันกีฬาปิงปองชนิดทีม ในโอลิมปิก โตเกียว 2020 อยู่หลากหลายทิศทาง โดยเสียงจำนวนหนึ่งโจมตีว่า ความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ คือ “ความผิดหวังของคนทั้งชาติ” โดยอีกหลายความเห็น บนเว็บไซต์ของจีนระบุว่า กรรมการในการแข่งขันปิงปองครั้งนี้ มีอคติเข้าข้าง จุน มิซูตะนิ และ อิโตะ มิมะ นักกีฬาปิงปองของญี่ปุ่น
4. ข้อหาไม่รักชาติ จากความพ่ายแพ้ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก สะท้อนภาพความคาดหวังของชาวจีน ต่อการแข่งขันในโอลิมปิกประหนึ่งว่ามัน คือสงครามการประกาศความยิ่งใหญ่ของจีนแผ่นดินใหญ่ ฟลอเรียน ชไนเดอร์ ผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์เอเชียศึกษาระบุว่า “ในบริบทนี้ ใครที่พลาดพลั้งจากการแข่งขัน ต่อทีมต่างชาติ แทบจะเหมือนกับการที่พวกเขาทำให้คนจีนทั้งชาติผิดหวัง หรือทรยศต่อชาติ”
5. ความพ่ายแพ้ในกีฬาปิงปองของจีน ยังไม่อับอายเท่ากับการแพ้กีฬาแบดมินตันต่อไต้หวัน ซึ่งจีนเองประกาศว่าเป็นมณฑลหนึ่งของพวกเขา โดยในการแข่งขัน ไต้หวันถูกบังคับให้ใช้ชื่อแทนประเทศตัวเองว่า Chinese Taipei ชะตากรรมของนักกีฬาแบดมินตันจีนอย่าง หลี่ จุนฮุย และ หลิว ยู่เฉิน ไม่ต่างจากนักกีฬาปิงปองของจีนก่อนหน้า เพราะพวกเขาถูกชาวเน็ตจีนโจมตีด้วยข้อหาเดียวกัน ว่าไม่รักชาติ
6. “พวกนายไม่ได้แหกตาดูเลยหรอ พวกนายไม่ได้ทุ่มเทอะไรเลย เฮงซวยจริงๆ” ความเห็นหนึ่งของชาวจีนใน Weibo ตำหนินักกีฬาแบดมินตันจีนทั้งสอง หลังพ่ายแพ้และพลาดโอกาสในการคว้าเหรียญทอง จากทีมนักกีฬาของไต้หวันไป ทั้งนี้ จีนแผ่นดินใหญ่ กลายมาเป็นทีมชาติที่ส่งนักกีฬาเข้าแข่งขันแทนไต้หวัน ในฐานะประเทศจีน เมื่อช่วงทศวรรษที่ 1970 หลังจีนอ้างความชอบธรรม ในการเป็นผู้ถือครองอำนาจบนแผ่นดินใหญ่ได้
7. กรณีดราม่ายังไม่จบแค่นี้ เพราะมันยังลามไปถึงแบรนด์สินค้าด้วย คุณอาจจะยังพอจำกันได้ ถึงการแบนสินค้าตะวันตก อย่าง Nike แบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่นกีฬา ที่เคยถูกชาวจีนแบน เนื่องจาก Nike ออกมาประกาศแบนการใช้ฝ้ายจากมณฑลซินเจียง ซึ่งมีการบังคับใช้แรงงานทาสชาวมุสลิมอุยกูร์ ชาวจีนถึงกับนำร้องเท้า Nike มาเผา เพื่อแสดงความไม่พอใจ และเรื่องราวเหล่านี้ ส่งผลมาสู่ หยาง เฉียน นักกีฬาแม่นปืนหญิงชาวจีน ที่เธอดันมีภาพในอดีต ขณะใส่รองเท้าของ Nike หยางจึงโดนหางเลขไปด้วย
8. “ในฐานะที่เธอเป็นนักกีฬาจีน ทำไมเธอถึงต้องมีรองเท้า Nike ด้วยล่ะ เธอไม่ควรจะเป็นผู้ออกมานำการแบน Nike เสียเองหรอกหรือ” หนึ่งความเห็นในภาพเก่าของหยางบนเว็บไซต์ Weibo ระบุ โดยล่าสุด หยางได้ลบรูปภาพดังกล่าวออกไปแล้ว ยังไม่นับรวมถึง หวาง ลู่เยา ที่เธอพลาดแพ้การแข่งขันการยิงปืนในรอบสุดท้าย โดย หวาง ถูกชาวเน็ตจีนตำหนิว่า “เราไม่ได้ส่งเธอไปโอลิมปิก เพื่อไปเป็นตัวแทนความอ่อนแอของประเทศนะ”
9. แต่ไม่ใช่ว่าจีนจะแพ้เหรียญทองอย่างเดียว เพราะตอนนี้ พวกเขาอยู่ในประเทศอันดับต้นๆ ที่ถือครองเหรียญมากที่สุด จำนวนไม่น้อยเป็นเหรียญทอง และสองเหรียญในนั้น คือเหรียญจากนักกีฬาปั่นจักรยาน เปา ชานจู และ จง เทียนชื่อ พวกเขาทั้งสองขึ้นรับเหรียญทอง ภายใต้ชุดกีฬาทีมชาติจีน อย่างไรก็ดี เปาและจง ติดเข็มกลัดที่มีรูป เหมา เจ๋อตุง อดีตผู้นำคอมมิวนิสต์ของจีน และมันกำลังกลายเป็นประเด็น ที่จีนถูกวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วโลก
10. ข้อวิจารณ์ดังกล่าวของชาวโลก เกิดขึ้นจากการที่ คณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) ได้ออกกกฎว่า นักกีฬาห้ามนำสัญลักษณ์ใดๆ ในทางการเมือง ออกมาแสดงบนเวทีการแข่งขันโอลิมปิกเด็ดขาด และดูเหมือนว่า เข็มกลัดรูป เหมา เจ๋อตุง จะเป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองโดยตรงของจีน ทั้งนี้ จะต้องมีการสืบสวน จากทางคณะกรรมการโอลิมปิกสากลต่อไป
11. การแสดงออกทางการเมืองและชาตินิยมของจีน ยังไม่หยุดเพียงเท่านี้ เพราะในการแข่งขันกีฬายิมนาสติกหญิง ถาง ซีจิง ได้เลือกเพลงประกอบการแสดงยิมนาสติกของเธอ ที่แสดงออกถึงลัทธิชาตินิยม โดยเธอได้นำเพลงจากภาพยนตร์ My People, My Country ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่สร้างขึ้น ในโอกาสครบรอบ 70 ปี การก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน รวมถึงเพลง เจี่ยวเอ๋อ เพลงประกอบภาพยนตร์ Red Sorghum ที่มีเนื้อเรื่อง เกี่ยวกับการต่อต้านการรุกรานของจีน จากกองทัพญี่ปุ่น เมื่อช่วงสงครามโลก ซึ่งปัจจุบันนี้เอง ญี่ปุ่นก็กำลังเป็นเจ้าภาพ จัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2020 ที่มีจีนเข้าร่วมแข่งขัน
12. ลัทธิชาตินิยมของจีนพุ่งขึ้นสูงอย่างมาก เนื่องจากในปีนี้ เป็นช่วงเวลาของการครบรอบ 100 ปี พรรคคอมมิวนิสต์จีน เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ทั้งนี้ สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ได้ประกาศกลางงานเฉลิมฉลองว่า จีนจะไม่ถูกต่างชาติ “รังแก” อีกต่อไป จีนเริ่มมีบทบาทมากขึ้นในเวทีโลก โดยเฉพาะเรื่องบทบาทด้านการพัฒนา ที่พวกเขาเริ่มรุดหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ
13. “สำหรับพวกเขา ตารางเหรียญโอลิมปิก คือตัวจับพลกำลังและอำนาจของชาติจีนแบบเวลาต่อเวลา ซึ่งเป็นเครื่องเสริมเกียรติภูมิของชนชาติจีน” ชไนเดอร์ให้ความเห็นเสริม ถึงลัทธิชาตินิยมจีนในโอลิมปิกครั้งนี้ โดยเฉพาะการแข่งขันประจำ ค.ศ.2020 ที่ดันจัดขึ้นในโตเกียว เมืองหลวงของญี่ปุ่น ประเทศอดีตคู่สงคราม ที่จีนมองว่ากดขี่พวกเขามา ในช่วงเวลาเมื่อศตวรรษก่อน
14. ญี่ปุ่นเคยบุกยึดจีน ในดินแดนบริเวณแมนจูกัว เมื่อ ค.ศ.1931 ก่อนที่จะเกิดสงครามยืดเยื้อมาอีก 6 ปี และลากยาวไปจนถึงการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 มีพลเมืองชาวจีนเสียชีวิตจากการยึดครอง และปกครองของญี่ปุ่นเป็นจำนวนนับล้านชีวิต เรื่องราวอันเจ็บปวดนี้ ยังคงเป็นประเด็นพิพาทระหว่าง 2 ชาตินี้เสมอมา โดยที่จีนมักเรียกร้องให้ญี่ปุ่น ออกมาแสดงความขอโทษ ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดในอดีต ชัยชนะของจีนในโอลิมปิกที่โตเกียวครั้งนี้ จึงสำคัญต่อชาวจีนเป็นอย่างมาก
15. ภาวะความโกรธและการโจมตีนักกีฬาทีมชาติจีน ว่าเป็นคนไม่รักชาติ จากความพ่ายแพ้ในกีฬาโอลิมปิก อาจเป็นเพียงภาพสะท้อน ของคนส่วนน้อยในจีน หลายต่อหลายคนในจีน ออกมาตักเตือนผู้โจมตีนักกีฬาทีมชาติของตัวเองว่า อยากให้พวกเขา “ใช้เหตุใช้ผลให้มากกว่านี้”
16. สำนักข่าวซินหัวของจีน ได้ออกข้อเขียนถึงกรณีดราม่าดังกล่าวว่า “เราหวังว่าพวกเราทุกคนที่นั่งอยู่หน้าจอ จะได้นำมุมมองที่สมเหตุสมผลมาใช้ ต่อเรื่องการชนะเหรียญทอง และชัยชนะตลอดจนความพ่ายแพ้ และมีความสุขไปกับมัน จิตวิญญาณของกีฬาโอลิมปิก” ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ว่า ภาวะดังกล่าวเกิดขึ้นจากการที่รัฐบาลจีน ส่งเสริมและโฆษณาชวนเชื่อลัทธิชาตินิยมของตนเองบนอินเทอร์เน็ตและสื่ออื่นๆ จนมันล้นเกิน และสะท้อนออกมาเป็นความโกรธแค้น เมื่อเห็นคนในชาติของตัวเอง ต้องพ่ายแพ้ต่อชาวต่างชาติ อย่างผู้ที่ประธานาธิบดีของเขากล่าวว่า จะไม่ยอมให้มารังแกจีนอีก
อ้างอิงจาก
https://www.bbc.com/news/world-asia-china-58024068
https://www.reuters.com/article/us-olympics-2020-china-mao-idUSKBN2F31II
https://www.globaltimes.cn/page/202107/1229672.shtml
#Recap #TheMATTER