จีนยังคงใช้สารพัดวิธีในการจับตาชนกลุ่มน้อย โดยเฉพาะชาวอุยกูร์ในมณฑลซินเจียง ทั้งนี้ มีกลุ่มผู้รอดชีวิตจากค่ายกักกันอุยกูร์ออกมาแฉว่า จีนจับตาชนกลุ่มน้อยด้วยเทคโนโลยีของบริษัททั้งในและนอกประเทศ และบริษัทเหล่านี้กลับยังคงลอยนวลมาโดยตลอด
อับดุลซาลาม มูฮัมหมัด หนึ่งในพยานผู้รอดชีวิตจากค่ายกักกันอุยกูร์ของจีน ให้การที่ลอนดอนในสภาอุยกูร์โลก ซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่ใช่รัฐ ที่ก่อตั้งขึ้นโดยการรวมตัวของกลุ่มนักกฎหมาย อาจารย์มหาวิทยาลัย ฯลฯ ว่า เขาถูกจับตัวเข้าค่ายกักกันในปี 2014 โดยภายในที่กักกันนั้น ชาวอุยกูร์ทั้งชุมชนถูกขังด้วยกำแพงเหล็ก และมีกล้องวงจรปิดติดอยู่ทั่วทั้งอาคาร
ในขณะที่บากีทาลี นูร์ กล่าวว่า เขาถูกทางการจีนกับกุมตัวในปี 2017 หลังจากที่เขาพยายามเดินทางไปยังคาซัคสถาน เพื่อเยี่ยมญาติที่กำลังป่วย โดยทางการจีนกล่าวหาว่า เขาพยายามหนีออกนอกประเทศ และเป็นแหล่งของ “อุดมการณ์ที่เป็นปัญหา” นูร์ระบุว่า เขาถูกจับขังอยู่ในค่ายกักกันนานนับปี ในขณะนั้น เขาถูกซ้อมทรมาณ และบังคับร้องเพลงภาษาจีนตลอดเวลา นูร์ให้การตรงกันว่า ในเรือนจำด้านในมีการติดกล้องวงจรปิดไปในทุกที่ โดยสถานที่เดียวที่ไม่กล้อง คือ ห้องส้วม
นูร์ได้รับการปล่อยตัวเมื่อปี 2018 ก่อนที่เขาจะถูกจับมาขังอีกรอบ และโดยทางการจีนขู่ว่า ห้ามนำเรื่องที่เขาเคยประสบพบเจอในค่าย เอาออกมาพูดภายนอก แต่การจับขังในครั้งนี้ คือการขังเขาเอาไว้ในบ้านของตัวเอง และทางการจีนได้ทำการติดตั้งกล้องวงจรปิดเอาไว้ภายในบ้านของเขา เช่นเดียวกันผู้รอดชีวิตอื่นๆ ที่ยืนยันว่า พวกเขาถูกกล้องวงจรติดตามออกมายังนอกค่ายกักกัน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะถูกปล่อยตัวออกมาแล้วก็ตาม
การให้การในศาลชี้ไปว่า ทางการจีนได้ใช้เทคโนโลยีฮาร์ดแวร์จาก Huawei และกล้องวงจรปิดจาก Hikvision ซึ่งเป็นบริษัทผลิตกล้องวงจรปิดที่ใหญ่ที่สุดในโลก บริษัทเอกชนเหล่านี้ พัฒนาเทคโนโลยีของตัวเอง ที่นอกจากจะนำมาขายในทางธุรกิจของเอกชนแล้ว ยังถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้จับตาชาวอุยกูร์และชนกลุ่มน้อยอื่นๆ โดยเฉพาะ เช่นเดียวกับ Huawei ที่พัฒนาเทคโนโลยีตรวจจับใบหน้าต่อชาวอุยกูร์ ซึ่งถูกนำออกมาใช้ตั้งแต่ปี 2018
นอกจากนี้ บริษัท Dahua ซึ่งเป็นบริษัทผลิตกล้องวงจรปิดขนาดใหญ่รองจาก Hikvision ยังพัฒนาให้กล้องวงจรปิดของพวกเขา สามารถส่งสัญญาณเตือนไปยังภาครัฐจีน หากมีการวิเคราะห์พบว่า คนที่กำลังถูกจับภาพเป็นชาวอุยกูร์ โดยมันจะมีการเชื่อมโยงการแจ้งเตือน ที่ระบุว่าชาวอุยกูร์ในภาพ “เข้าข่ายผู้ก่อการร้ายที่กำลังหลบซ่อนตัวอยู่”
Hikvision, Dahua, Huawei และ SenseTime เป็น 4 ในบริษัทอย่างน้อย 11 แห่ง ที่มีบทบาทสำคัญ ในการเป็นตัวช่วยจับตามองชาวอุยกูร์ของทางการจีน หลายบริษัทเหล่านี้ ยังคงทำธุรกิจได้ตามปกติ และไม่ได้รับผลจากการกระทำใดๆ ของพวกเขา ที่เป็นส่วนหนึ่งซึ่งหลายประเทศในโลกมองว่า เข้าข่ายพฤติกรรมการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวอุยกูร์ ยังมีบริษัทอื่นๆ ที่ถูกกล่าวหาว่า มีส่วนเกี่ยวข้องในการจับตาชาวอุยกูร์อีก เช่น Tiandy, Alibaba และ Uniview
“รัฐบาลต่างๆ ควรออกมาตรการคว่ำบาตร ที่จะไม่อนุญาตให้บริษัทเหล่านี้ สามารถทำกำไรได้อย่างเสรี ในขณะที่พวกเขามีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง ในการปราบปราบและฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (ชาวอุยกูร์)” หลุยซา เกรฟ ผู้อำนวยการโครงการสิทธิมนุษยชนอุยกูร์ระบุ เพื่อเรียกร้องไปยังรัฐบาลในหลายๆ ประเทศ ที่จะช่วยกันแบนบริษัทเหล่านี้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าประชาคมโลกไม่สนับสนุนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวอุยกูร์
อ้างอิงจาก
https://uyghurtribunal.com/wp-content/uploads/2021/09/UTFW2-069-Abdusalam-Muhammad-FINAL-1.pdf
#Brief #TheMATTER