16 ตุลาคม พ.ศ.2563 เป็นหนึ่งในวันสำคัญเรื่องสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนไทย เพราะเป็นจุดเริ่มต้นที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เริ่มใช้กำลังเข้าจัดการกับการชุมนุม เริ่มจากรถฉีดน้ำผสมสารเคมี และต่อมาก็พัฒนาเป็นการใช้แก๊สน้ำตา กระสุนยาง ต่อเนื่องมาจากถึงปัจจุบัน
เหตุการณ์วันดังกล่าวจึงเป็นจุดที่ ‘ภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน’ ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของทีมทนายความองค์กรสิทธิมนุษยชนด้านกฎหมาย เริ่มต้นแคมเปญ #ราษฎรฟ้องกลับ #ราษฎรฟ้องรัฐ เพื่อปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายให้การรับรอง ทั้งเสรีภาพในการติดต่อสื่อสาร เสรีภาพในการแสดงออก สิทธิในการชุมนุมโดยสงบ สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม ฯลฯ
หลังจากแคมเปญดังกล่าวดำเนินมาครบหนึ่งปี ศุภมาศ กัญญาภัคโภคิน ผู้แทนภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน ได้สรุปว่า มีการฟ้องคดีรัฐไปแล้ว 13 คดี อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานอีก 8 คดี
ทั้งนี้ คดีที่ภาคีนักกฎหมายฯ จะรับดำเนินการให้ จะเป็น ‘คดียุทธศาสตร์’ เพื่อป้องกันสิทธิเสรีภาพของประชาชน ภายใต้เงื่อนไข 3 ข้อ ดังนี้
- คดีที่ฟ้องต้องเป็นประเด็นสาธารณะ ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว
- ผลของคดีเป็นอย่างไร จะมีการสื่อสารให้สาธารณชนทราบอยู่ตลอดเวลา ผู้เกี่ยวข้องจะลอยตัวเหนือความรับผิดชอบไม่ได้
- ความพร้อมของผู้ฟ้อง เพราะระหว่างทางอาจมีแรงเสียดทาน ต้องมีสัญญาใจว่าจะร่วมหัวจมท้ายไปจนถึงวันที่ศาลมีคำตัดสิน
ทั้งนี้ ในคดีที่ยื่นฟ้องไปแล้วจะมีหลายลักษณะ เช่น เพิกถอนกฎหมายที่กระทบสิทธิเสรีภาพของประชาชน เช่น ฟ้องยกเลิกข้อกฎหมายตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฉบับที่ 29 ที่ให้ปิดกั้นสื่อและตัดเน็ตได้, เรื่องการแจ้งข้อกล่าวหาที่ไม่เป็นธรรม, เรื่องการออกหมายทางอาญา (หมายเรียก, หมายจับ) โดยไม่ชอบ, เรื่องการควบคุมตัวไปโดยไม่ชอบ เช่น พาตัวไป ตชด. ทั้งที่เป็นสถานที่ซึ่งไม่อยู่ใน ป.วิอาญา, สลายการชุมนุมโดยมิชอบ และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เช่น ฟ้องให้เพิกถอนคำสั่งถอดสุชาติ สวัสดิ์ศรี จากการเป้นศิลปินแห่งชาติ
“และนอกจากฟ้องคดีแล้ว เรายังมีการดำเนินการอื่นคู่ขนานกันไป เช่น พาตัวไปแจ้งความร้องทุกข์ที่ สน. หรือรวบรวมรายชื่อผู้เสียหายเตรียมยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช.”
ผู้แทนภาคีนักกฎหมายฯ รายนี้ยังกล่าวว่า ที่ผ่านมา จะมีคนตั้งคำถามตลอดว่า ฟ้องไปก็เท่านั้น ไม่ได้ผลหรอก แต่ตราบใดที่คนในกระบวนการยุติธรรมยังใช้ภาษีของเราอยู่ ทางภาคีนักกฎหมายฯ ก็คิดว่า มีความจำเป็นต้องกระทุ้งให้เขาทำงาน โดยเฉพาะการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน
“เราจะไม่นิ่งเฉย จะโต้กลับตามช่องทางที่กฎหมายรับรองไว้ ต่อไปนี้จะไม่มีใครต้องลอยนวลพ้นผิด (impunity) เพราะเรื่องสิทธิเสรีภาพมันไม่ได้สำคัญเพียงพอกฎหมายรับรองไว้เท่านั้น แต่มันเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ด้วย” ศุภมาศกล่าว
สำหรับคดีความที่ภาคีนักกฎหมายฯ ช่วยทำสำนวนฟ้องร้องให้กับประชาชนและสื่อมวลชน มีอาทิ
- คดีขอให้เพิกถอนข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฉบับที่ 29 (ศาลแพ่งสั่งคุ้มครองชั่วคราวห้ามใช้ ภายหลัง พล.อ.ประยุทธ์จึงยกเลิก)
- คดีเรียกค่าเสียหายจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติกรณีใช้กระสุนยางยิงเข้าใส่สื่อมวลชน (ศาลแพ่งรับคำฟ้องและสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้ตำรวจสลายการชุมนุมโดยระมัดระวังความปลอดภัยสื่อมวลชน แต่ยังไม่เรียก ผบ.ตร.มาไต่สวน)
- คดีขอให้เพิกถอนข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฉบับที่ 15 เรื่องห้ามการชุมนุมสาธารณะ (ศาลแพ่งนัดฟังคำสั่งต้นปี 2565 และยกคำขอคุ้มครองชั่วคราวที่ขอให้ห้ามใช้ข้อกำหนดนี้)
- คดีขอให้ยกเลิกมติถอดถอนสุชาติ สวัสดิ์ศรี จากการเป็นศิลปินแห่งชาติ (อยู่ระหว่างรอฟังศาลปกครองว่าจะรับฟ้องคดีนี้และจะมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวหรือไม่)
ติดตามผลงานของภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน ในการช่วยประชาชนและสื่อมวลชนยื่นฟ้องต่อภาครัฐเพื่อปกป้องสิทธิเสรีภาพ (หรือร่วมบริจาคเงินสนับสนุน) ได้ที่: https://www.facebook.com/HRLawyersAlliance/
#Brief #TheMATTER