หากจำกันได้ สหราชอาณาจักรเป็นหนึ่งในประเทศที่เจอกับการระบาดหนักในช่วงปีก่อน แต่มาตรการรับมือที่มีประสิทธิภาพ ก็ทำให้พลิกสถานการณ์กลับมาได้ ถึงอย่างนั้น สถานการณ์ COVID-19 ในสหราชอาณาจักรกลับมาระบาดหนักอีกครั้ง
.
ต้องอธิบายก่อนว่า ตอนนี้ สหราชอาณาจักรพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มสูงขึ้นติดอันดับโลก โดยในวันที่ 21 ตุลาคม พบผู้ป่วยใหม่ถึง 50,000 ราย ซึ่งนับว่ามีผู้ติดเชื้อรายวันสูงที่สุดในยุโรป และยังมีผู้เสียชีวิตอีก 223 ราย มากที่สุดนับตั้งแต่มีการระบาดเมื่อเดือนมีนาคม
.
แต่ถ้านำสถานการณ์ผู้ติดเชื้อในปีนี้ไปเทียบกับปีที่แล้ว จะพบว่า ในช่วงเดือนกรกฎาคม-ตุลาคมของปี 2021 สหราชอาณาจักรมีผู้ป่วยอยู่ที่ประมาณ 3 ล้านคน โดยมี 79,000 คนที่ต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาล ขณะที่ช่วงตุลาคม 2020-มกราคม 2021 สหราชอาณาจักรมีผู้ติดเชื้อประมาณ 2.7 ล้านคน แต่มีผู้ป่วย 185,000 คนที่ต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาล ซึ่งสาเหตุมาจากการระดมฉีดวัคซีนที่ยังไม่ทั่วถึงมากพอในเวลานั้น
.
ยิ่งกว่านั้น แม้ผู้ติดเชื้อจะเพิ่มสูงขึ้น แต่อัตราการเสียชีวิตก็ยังคงที่อยู่ โดยมีผู้เสียชีวิตเฉลี่ย 130 รายต่อวัน ต่ำกว่าในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งมีจำนวนผู้เสียชีวิตสูงถึงประมาณ 1,200 รายต่อวัน แปลว่า ถึงยอดผู้ติดเชื้อจะสูงขึ้น แต่ก็ยังอยู่ในสถานการณ์ที่ดีกว่าปีก่อน
.
ถ้าอย่างนั้น แล้วทำไมยอดผู้ป่วย COVID-19 ในสหราชอาณาจักรถึงกลับมาพุ่งสูงอีกครั้งนึงละ?
.
1. การลดมาตรการป้องกันโรคที่รวดเร็วเกินไป
.
สหราชอาณาจักรเป็นประเทศแรกในยุโรปตะวันตกที่ลดมาตรการป้องกันโรคก่อนที่อื่นๆ ทำให้ประชาชนสามารถไปเที่ยวคลับ และเข้าร่วมกิจกรรมที่มีการรวมตัวกันมากๆ ได้
.
ผลสำรวจจาก Imperial College พบว่า ประชาชนในสหราชอาณาจักรเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะมากกว่าประเทศข้างเคียง ขณะที่ ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า แนวทางป้องกันที่ให้ประชาชนใส่หน้ากากอนามัยก็ไม่ถูกบังคับใช้อย่างเคร่งครัด
ในขณะที่ผู้คนกลับไปดำเนินกิจวัตรตามปกติ และนักเรียนกลับไปเรียน แต่ด้วยมาตรการป้องกันเพียงเล็กน้อย ไวรัสก็แพร่กระจายอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่นักเรียนระดับมัธยมศึกษาที่ไม่ได้รับวัคซีนซึ่งมีอัตราการติดเชื้อสูงที่สุดในประเทศ
.
2. การฉีดวัคซีนให้กลุ่มวัยรุ่นที่ล่าช้า
.
ตอนนี้เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปในสหราชอาณาจักร สามารถรับวัคซีนได้แล้ว แต่อัตราการฉีดก็ยังเป็นไปอย่างล่าช้ามาก โดยมีเด็กอายุ 12-15 ปีที่ได้รับวัคซีนเข็มแรก 14% เท่านั้น ขณะเดียวกัน ประเทศอื่นๆ ในยุโรปและสหรัฐฯ เร่งฉีดวัคซีนกันไปก่อนแล้ว
.
ในขณะที่อัตราการฉีดวัคซีนในกลุ่มเด็กเป็นไปอย่างล่าช้า เด็กๆ ในสหราชอาณาจักรกลับเริ่มไปเรียนที่โรงเรียนเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา จำนวนผู้ติดเชื้อในกลุ่มเด็กเพิ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติเปิดเผยว่า มีเด็กอายุ 12-15 ปี ป่วยด้วยโรค COVID-19 ประมาณ 8.1% ของทั้งหมด
.
อีกทั้ง เมื่อเทียบกับมาตรการป้องกันโรคที่ลดลง เช่น การไม่กำหนดให้สวมหน้ากากอนามัยในโรงเรียน ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยให้การแพร่เชื้อเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งแม้ว่าผู้ติดเชื้อวัยนี้จะแทบไม่แสดงอาการ แต่ก็ยังสามารถแพร่เชื้อให้กลุ่มอายุอื่นๆ ได้เช่นกัน
.
“การฉีดวัคซีนในกลุ่มวัยรุ่น จะมีความสำคัญมากในการรับมือกับอัตราการติดเชื้อที่สูงขึ้น เนื่องจากมีผู้ป่วยวัยรุ่นจำนวนมากในขณะนี้ นี่คือภาพที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงกับการระบาดครั้งก่อน” ศาตราจารย์จาก University of Edinburgh กล่าว
.
3. ภูมิคุ้มกันเริ่มตก
.
สหราชอาณาจักรดำเนินการฉีดวัคซีนให้ประชาชนอย่างรวดเร็วตั้งแต่เดือนธันวาคมปีก่อน ซึ่งสามารถช่วยลดการป่วยหนักและการเสียชีวิตลงได้ แต่ว่าผลการทดสอบจากผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้ว พบว่า ภูมิคุ้มกันจากวัคซีนจะลดลงอย่างมากในช่วง 5-6 เดือนหลังรับวัคซีน
.
สาธารณสุขอังกฤษ เคยวิเคราะห์ไว้เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาว่า ประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อเดลต้าแบบมีอาการของวัคซีน AstraZeneca และ Pfizer จะเริ่มลดลงหลังรับวัคซีนไปแล้ว 5 เดือน โดยประสิทธิภาพของวัคซีน AstraZeneca จะมากกว่า 50% และ Pfizer มากกว่า 70%
.
ภูมิคุ้มกันที่ลดลงนี้ ส่งผลต่อโอกาสในการติดเชื้อที่เพิ่มมาก แม้ว่าผลของวัคซีนจะยังป้องกันการป่วยหนักและเสียชีวิตได้ดีอยู่ แต่ปัญหาภูมิคุ้มกันที่เริ่มลดลงนี้ ก็ทำให้รัฐมนตรีสาธารณสุขของสหราชอาณาจักรอนุมัติวัคซีนกระตุ้น ให้ประชาชนอายุ 50 ปีขึ้นไปและผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง ในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา
.
4. เชื้อกลายพันธุ์ตัวใหม่
.
แม้ว่าเชื้อสายพันธุ์เดลตา จะยังคงเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดในสหราชอาณาจักร แต่ตอนนี้ ทางการอังกฤษกำลังจับตามองเชื้อสายพันธุ์ใหม่ที่มีชื่อว่า AY.4.2 หรือที่เรียกว่า เดลตาพลัส ซึ่งมีผู้ติดเชื้อสายพันธุ์นี้แล้ว 6% ของผู้ป่วยทั้งหมด
.
ตอนนี้ สายพันธุ์ AY.4.2 ยังไม่ได้เป็นเชื้อกลายพันธุ์ที่น่ากังวล (VOC) และผู้เชี่ยวชาญก็คาดว่า เชื้อสายพันธุ์นี้ไม่น่าจะแพร่ระบาดหนักและวัคซีนที่มีอยู่ก็น่าจะรับมือได้
.
สำหรับสายพันธุ์ AY.4.2 นี้ เป็นเชื้อกลายพันธุ์มาจากเดลตา และมีการคาดการณ์ว่า จะแพร่ระบาดได้ง่ายกว่าเดิม 10% ซึ่งยังเทียบไม่ได้กับสายพันธุ์อัลฟาและเดลตาที่แพร่ระบาดง่ายกว่าเดิมถึง 50-60%
.
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสถานการณ์ในสหราชอาณาจักรจะยังอยู่ในระดับที่รับมือได้ แต่สมาพันธ์สำนักงานบริการสุขภาพแห่งชาติ (NHS Confederation) ก็เรียกร้องให้รัฐบาลเริ่มใช้แผนสำรอง เสริมจากแผนหลักที่จะให้คน 30 ล้านคนได้รับวัคซีนกระตุ้นอีกเข็ม และให้วัคซีนเข็มแรกกับเด็กอายุ 12-15 ปี โดยแผนสำรองนี้ คือการบังคับให้คนใส่หน้ากากอนามัยในที่แออัดและในพื้นที่ปิด ขอให้คนทำงานจากบ้าน และให้ใช้วัคซีนพาสปอร์ต
.
ประธานสมาพันธ์สำนักงานบริการสุขภาพแห่งชาติ ระบุว่า รัฐบาลควรเริ่มใช้แผนสำรองเลย ไม่ควรรอให้มีผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้นก่อน และยังเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤตในช่วงฤดูหนาวด้วย
.
.
อ้างอิงจาก