การพูดคุยหารือคือหนึ่งทางออก ของระบบพหุภาคีระหว่างประเทศในยุคปัจจุบัน เช่นเดียวกันกับการหาทางออกในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การประชุม COP26 จึงเกิดขึ้น เพื่อร่วมกันหาทางออกในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ของรัฐต่างๆ ร่วมกัน
COP26 เป็นชื่อย่อของ ‘การประชุมสุดยอดด้านสภาพภูมิอากาศ’ ซึ่งในปีนี้ ถูกจัดขึ้น ณ กลาสโกว์ ประเทศสก็อตแลนด์ ระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม ถึง 12 พฤศจิกายน ค.ศ.2021 เพื่อการหารือกัน ของตัวแทนจาก 190 ประเทศ ในเรื่องของการจำกัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ เพื่อไม่ให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลก พุ่งสูงมากขึ้นจนเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ด้วยการตั้งเป้าหมายหลัก ให้มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ ภายใน ค.ศ.2050
ก๊าซเรือนกระจกคืออะไร
หลักๆ แล้ว ก๊าซเรือนกระจกเกิดขึ้นจากการเผาไหม้ของพลังงานเชื้อเพลิง ซึ่งจะก่อให้เกิดคาร์บอนไดออกไซด์ ก่อนที่ก๊าซเหล่านี้จะลอยตัวขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ และค่อยๆ ทำลายชั้นบรรยากาศ ที่เปรียบเสมือนตัวกรองแสงและความร้อนจากพระอาทิตย์ ซึ่งส่องมายังโลกของเรา
ตั้งแต่หลังเกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรม ในช่วงศตวรรษที่ 18 มนุษย์หันมาใช้พลังงานเชื้อเพลิงต่างๆ ซึ่งก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มสูงขึ้น มีรายงานระบุว่า ในปัจจุบันนี้ มีคาร์บอนไดออกไซด์บนชั้นบรรยากาศของเรากว่า 419 ส่วนจากล้าน แตกต่างจากชั้นบรรยากาศของโลกเราในช่วงก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม ที่มีคาร์บอนไดออกไซด์อยู่เพียงแค่ 280 ส่วนต่อล้าน
ปัญหาการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือก๊าซเรือนกระจกเหล่านี้ เริ่มทำให้ชั้นบรรยากาศของโลกถูกทำลาย และมีการดูดซึมความร้อนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อความร้อนเพิ่มมากขึ้น จึงก่อให้เกิดผลกระทบออกมาในรูปแบบของภัยพิบัติต่อระบบนิเวศ และธรรมชาติที่เริ่มทรุดโทรม การเกิดคลื่นความร้อน ไฟป่า น้ำแข็งขั้วโลกละลาย น้ำท่วม สัตว์เริ่มเข้าใกล้ภาวะสูญพันธุ์ และปัญหาเหล่านี้ย้อนกลับมาทำร้ายทำลายมนุษย์อย่างเราเอง
จากปัญหาก๊าซเรือนกระจก สู่การประชุมเพื่อหาทางออก
ปัญหาก๊าซเรือนกระจกไม่ใช่ปัญหาของประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่มันคือปัญหาของมวลมนุษยชาติ ด้วยเหตุนี้ เมื่อ ค.ศ.1995 การประชุมสุดยอดด้านสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติจึงได้เริ่มกำเนิดขึ้น เพื่อพยายามหาทางออก กับการจัดการปัญหาดังกล่าว โดยที่ผ่านมา รัฐสมาชิกทั้งหลายของสหประชาชาติได้ร่วมการตั้งเป้าหมายเพื่อการลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่มีข้อวิจารณ์จากหลายฝ่ายว่า ข้อตกลงมักไม่ถูกทำได้ตามเป้าเท่าไหร่นัก
อย่างไรก็ดี หลายฝ่ายตั้งความหวังเอาไว้ว่า การประชุม COP26 ในปีนี้ จะช่วยสร้างความหวัง ในการหยุดยั้งวิกฤตทางธรรมชาติของโลกเราเอาไว้ให้ได้ โดยเนื้อหาสาระของการประชุม ได้มีการกำหนดประเด็นต่างๆ ที่จะมีการพูดคุยแลกเปลี่ยน และกำหนดเป้าหมายรวมถึงแผนปฏิบัติ ในช่วงสัปดาห์แรก บนเรื่องของคาร์บอนเครดิต เงินทุนสำหรับประเทศที่เสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการแก้ปัญหาโดยอิงหลักธรรมชาติ
และหลังจากนั้น ในช่วงสัปดาห์ที่สองของการประชุม จะมีการนำหัวข้อที่เกี่ยวเนื่องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอื่นๆ ได้แก่ ประเด็นเรื่องเพศ การคมนาคม และแนวทางการตอบรับกับผลกระทบของสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป อย่างไรก็ดี ด้วยการระบาดของ COVID-19 และมาตรการกักตัว จึงอาจทำให้ประเทศยากจน และประเทศกำลังพัฒนาบางแห่ง ไม่สามารถเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ได้
ก่อนหน้านี้ เมื่อ ค.ศ.2015 การประชุมที่ทุกคนน่าจะเคยได้ยินชื่อกันมา คือ COP21 ที่ก่อให้เกิด ‘ข้อตกลงปารีส’ ซึ่งเป็นการริเริ่มอีกครั้ง ของการตั้งเป้าการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ ภายใน ค.ศ.2050 อย่างไรก็ดี เวลาผ่านมาแล้ว 6 ปี แต่ยังไม่มีผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมมากนัก การประชุม COP26 ในครั้งนี้ จึงเป็นความหวังครั้งสำคัญเพื่อต่อยอด และทำให้การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกิดขึ้นจริงให้ได้ ไม่ว่าจะในเรื่องการนำรถไฟฟ้ามาใช้ให้เร็วขึ้น การเลิกใช้พลังงานถ่านหิน และการตัดต้นไม้ที่น้อยลง
ไทยใน COP26
ทั้งนี้ ประเทศไทยเองก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง ของการประชุมครั้งสำคัญนี้เช่นกัน เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะเดินทางไปยังกลาสโกว์ เพื่อเข้าร่วมการประชุมด้วย หลังจากมีการรายงานข่าวไปก่อนหน้านี้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้ฉีดวัคซีน Pfizer กระตุ้นเข็มที่ 3 ก่อนการเดินทางไปยังสก็อตแลนด์แล้ว
แล้วไทยมีเป้าหมายอะไร ที่เกี่ยวเนื่องกับเวที COP26? ไทยเองมีร่างยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ โดยการรักษาอุณหภูมิเฉลี่ยโลก ให้เพิ่มขึ้นไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส โดยก่อนหน้านี้ ประเทศไทยตั้งการบรรลุเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ ภายในปี ค.ศ. 2050 ทำให้ประเทศไทยเองเป็นหนึ่งใน 63 สมาชิกสหประชาชาติ ที่ประกาศเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์
อีกมุมมองต่อ COP26
ข้อวิจารณ์หลักๆ ของการประชุม COP26 หนีไม่พ้นเรื่อง ‘ความเท่าเทียมทางสภาพอากาศ’ เนื่องจากหลายฝ่ายมองว่า ประเทศพัฒนาแล้ว ต่างพัฒนาฐานเศรษฐกิจของตนเองขึ้นมา จากการทำลายธรรมชาติมาก่อน และพวกเขามีส่วนรับผิดชอบอย่างสำคัญ ต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จนก่อให้เกิดภัยพิบัติต่างๆ นานา ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนา กำลังสร้างรากฐานทางเศรษฐกิจตัวเอง ผ่านการพัฒนาระบบอุตสาหกรรมขึ้นมาใหม่ เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตของประเทศ ทำให้พวกเขาหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ยาก
ในทางกลับกัน ประเทศพัฒนาแล้วกลับตั้งเป้าหมายเชิงเทคนิค ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการทำอุตสาหกรรม ซึ่งจะไปบั่นทอนการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ของประเทศกำลังพัฒนาที่สุดท้ายแล้ว พวกเขาต่างตกเป็นผู้ได้รับความเสียหาย จากภัยพิบัติต่างๆ เสียเอง เช่น ประเทศในเอเชีย แอฟริกา และประเทศหมู่เกาะต่างๆ
การจัดการปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังเร่งรัดขึ้นมาเรื่อยๆ ในขณะที่ปัญหาความเท่าเทียมทางสภาพอากาศยังคงถูกถกเถียงควบคู่กันไป อย่างไรก็ดี มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากนักวิทยาศาสตร์ว่า มันอาจสายเกินไปแล้ว ในการตั้งเป้าลดการเพิ่มสูงขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยโลก ให้ไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส แต่ผลลัพธ์ของ COP26 จะเป็นอย่างไร คงต้องติดตามกันต่อตลอด 2 สัปดาห์หน้านี้
อ้างอิงจาก
https://ukcop26.org/uk-presidency/what-is-a-cop/
https://www.usatoday.com/story/news/2021/10/27/un-climate-change-conference-cop-26-guide/8527366002/
https://www.euronews.com/green/2021/10/28/what-is-cop26-and-why-is-it-so-important
https://www.bangkokbiznews.com/blogs/columnist/966594
https://www.bbc.com/thai/international-58875313
#COP26 #Explainer #TheMATTER