คุณเห็นด้วยกับการอนุญาตให้โรงงานไฟฟ้ามาตั้งในพื้นที่ชุมชนหรือไม่?
เมื่อเร็วๆ นี้กลุ่ม Save นาบอน ได้เข้ามาที่กรุงเทพฯ และเดินสายยื่นหนังสือไปยังองค์กรและหน่วยงานต่างๆ เพื่อร้องเรียนให้ยุติการก่อสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลที่ อ.นาบอน จ.นครศรีธรรมราช เนื่องจากเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ทั้งในแง่ชุมชน สังคม และสุขภาพ
โรงไฟฟ้าชีวมวลมีที่มาที่ไปอย่างไร ส่งผลกระทบกับชาวบ้านในลักษณะไหน และมีใครเกี่ยวข้องกับโครงการนี้บ้าง The MATTER จะมาอธิบายให้ฟัง
อธิบายคร่าวๆ ก่อนว่า ‘โรงไฟฟ้าชีวมวล’ คือโรงงานผลิตไฟฟ้าจากวัตถุดิบจำพวกชีวมวล (วัตถุดิบที่เหลือจากการใช้ประโยชน์ทางเกษตร เช่น เศษกะลามะพร้าว เป็นต้น) ดังนั้นโรงไฟฟ้าชีวมวลจะมีประโยชน์ในฐานะของเครือข่ายเอกชนที่จะอุดหนุนผลิตภัณฑ์เกษตรของคนในชุมชน และเพิ่มความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้าให้กับชุมชน
แต่นอกจากประโยชน์ โรงไฟฟ้าชีวมวลเองก็มีข้อน่ากังวลใจอยู่เหมือนกัน อย่างเช่น ประเด็นเรื่องของสิ่งแวดล้อม การตั้งโรงงานไฟฟ้าชีวมวลใกล้พื้นที่ชุมชนมากเกินไป อาจส่งผลกระทบต่อปัญหาด้านสุขภาพของคนในพื้นที่ ทั้งเรื่องมลพิษทางอากาศ ทางเสียง รวมถึงระบบนิเวศ เช่น แม่น้ำลำคลองที่อาจต้องมารับน้ำเสียจากโรงงาน
ดังนั้นการจะตั้งโรงไฟฟ้าในพื้นที่ใดๆ ก็ตามจะต้องปฏิบัติตามระเบียบอย่างเคร่งครัด รวมถึงถามความเห็นของประชาชนที่อยู่ในชุมชนใกล้เคียง เพราะประชาชนที่อยู่ในพื้นที่คือคนที่จะได้รับประโยชน์และได้รับโทษมากที่สุด จึงควรให้พวกเขามีส่วนร่วมในการตัดสินใจเลือกด้วยตัวเอง
#ขบวนการคัดค้านโรงไฟฟ้าชีวมวล อ.นาบอน จ.นครศรีธรรมราช มีที่มาอย่างไร?
โรงไฟฟ้าชีวมวลที่มีแผนจะสร้างใน อ.นาบอน จ.นครศรีธรรมราช มีด้วยกัน 2 โรง (รวม 50 เมกะวัตต์) ดูแลและรับผิดชอบโดย บริษัท ไบโอ พาวเวอร์ แพลนท์จำกัด และบริษัท เออีซี โซล่าร์ จำกัด (ACE) ซึ่งมีผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
ตามรายงานของบริษัท คอนซัลแทนท์ ออฟ เทคโนโลยี จำกัด (COT) ซึ่งเป็นผู้ดูแลเรื่องการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ของบริษัททั้งสองเปิดเผยว่า ได้มีการพูดคุยเพื่อแลกเปลี่ยนปัญหาและข้อเสนอแนะกับประชาชนในพื้นที่แล้วเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2562 และมีการจัดประชุมในลักษณะเดียวกันอีกครั้งในเดือนกรกฎาคมปีเดียวกัน เพื่อนำข้อมูลส่วนนี้ไปทำ EIA และขอนุญาตก่อสร้างต่อไป
ในช่วงเวลาเดียวกับที่ COT เดินหน้าจัดประชุมเพื่อศึกษาข้อมูลทำ EIA ก็เริ่มมีชาวบ้านออกมารวมตัวกันเพื่อคัดค้านการตั้งโรงไฟฟ้า โดยระบุว่า พื้นที่ที่จะมีการก่อสร้างนั้นเป็นพื้นที่ชุมชน ห้องล้อมไปด้วยบ้านเรือนประชาชน โรงเรียน วัด โรงพยาบาล และสวนผลไม้ต่างๆ จึงเกรงว่าจะได้รับผลกระทบจากปัญหาผลพิษที่จะมาพร้อมกับโรงไฟฟ้า
นอกจากนี้ ชาวบ้านในพื้นที่ยังข้องใจเกี่ยวกับกระบวนการทำ EIA ที่ดูไม่โปร่งใส ขัดกับหลักความเป็นจริง ชาวบ้านในพื้นที่เองไม่ได้มีส่วนร่วมเท่าที่ควร จึงมีการยื่นเรื่องให้ ชัยชนะ เดชเดโช ส.ส.นครศรีธรรมราชในขณะนั้นรับเรื่องไป แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้มีความคืบหน้าใดๆ เพิ่มเติม
ตลอดระยะเวลา 2 ปีกว่านับตั้งแต่มีการเคลื่อนไหวครั้งแรกเมื่อ 2562 ต้องยอมรับว่ากระแสเรื่องโรงไฟฟ้าชีวมวลที่นาบอนยังไม่เป็นที่พูดถึงมากนักในสังคม รวมถึงสื่อโซเชียลมีเดีย
จนกระทั่งเมื่อช่วงเดือนกรกฎาคมของปีนี้ ชาวบ้านนาบอนเริ่มกลับมาเคลื่อนไหวและเรียกร้องให้มีการยุติการสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลทั้ง 2 แห่งอีกครั้ง เนื่องจากเห็นว่า บริษัทเอกชนเริ่มกลับมาเดินหน้าก่อสร้างโรงงานไฟฟ้าโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากประชาชน
เรียง สีแก้ว ผู้ประสานงานเครือข่ายปกป้องนาบอนจากโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงพิษและกลุ่มราษฎรใต้ พร้อมด้วยชาวบ้านจากนาบอน ได้รวมตัวจัดชุมนุมขนาดย่อมที่หน้าสำนักงานใหญ่ธนาคารไทยพานิชย์ โดยให้เหตุผลว่า SCB เป็น 1 ในผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัทที่สร้างโรงไฟฟ้าชีวมวล จึงมีส่วนต้องร่วมรับผิดชอบด้วย แต่หลังจากนั้นขบวนการเคลื่อนไหวก็ได้หยุดไปชั่วคราว เนื่องจากเป็นช่วงที่สถานการณ์ระบาด COVID-19 ในประเทศมีความรุนแรง
จนกระทั่งช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เครือข่าย Save นาบอนกลับมากรุงเทพฯ และเดินสายร้องเรียนหน่วยงานต่างๆ อีกครั้ง โดยในครั้งนี้ได้ไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อขอเจรจากับ พล.ต.อ.วิระชัย (หนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัทที่รับผิดชอบโรงไฟฟ้า) เพื่อพูดคุยยุติโครงการ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้เข้าพบ
รวมถึงเดินทางไปสํานักทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ เนื่องจากธนาคารไทยพาณิชย์ได้ลงทุนในกิจการส่งผลกระทบต่อชุมชน แต่ตำรวจมาเจรจาขอให้ ผกก.สน.สามเสน รับหนังสือแทน จากนั้นเดินทางไปบริเวณทำเนียบ แต่โดนเจ้าหน้าที่ตำรวจปิดล้อมเส้นทางเอาไว้
คำถามที่ตามมาคือชาวบ้านต่อสู้ขนาดนี้เพื่ออะไร ทำไมจึงยอมเดินทางไกลบ้านฝ่าโรคระบาดมาเพื่อเรียกร้องให้ยุติโครงการ นอกจากเรื่องสิ่งแวดล้อมแล้วมีเหตุผลใดเพิ่มเติมหรือไม่? ย้อนไปดูความเห็นชาวบ้านต่อโรงไฟฟ้านาบอนกัน
#สรุปเหตุผลหลักว่าทำไมชาวบ้านถึงไม่เอาโรงไฟฟ้านาบอน
– การตั้งโรงไฟฟ้าที่อาจทำให้คนทั่วประเทศต้องจ่ายค่าไฟเพิ่ม
เรียง สีแก้ว บอกว่า การสร้างโรงไฟฟ้านั้นสร้างขึ้นเพื่อจ่ายไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค แต่ปัจจุบัน ประเทศไทยใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ประมาณ 30,000 เมกะวัตต์ แต่ผลิตได้ 50,000 เมกะวัตต์ เท่ากับว่าประเทศมีจำนวนไฟฟ้าใช้เพียงพอแล้ว ส่วนที่เหลืออีก 20,000 เมกะวัตต์ ซึ่งไม่ได้ถูกนำมาใช้งาน ประชาชนยังต้องจ่ายค่าไฟฟ้าผันแปร (FT) ซึ่งหากในอนาคตมีไฟฟ้าเกินจำนวนความต้องการมากขึ้น ค่า FT ก็จะยิ่งสูงขึ้น เป็นภาระที่ประชาชนทั่วประเทศต้องรับผิดชอบร่วมกัน
– การดำเนินงานที่ไม่โปร่งใส
วิชัย รัตนานก ตัวแทนเครือข่าย Save นาบอนได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว The Reporter เมื่อวันที่ 17 ธันวาคมที่ผ่านมาว่า โรงไฟฟ้านาบอนนั้นมีการดำเนินการที่ไม่โปร่งใส ในส่วนของประเด็น EIA ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนถึงข้อเสียจากการสร้างโรงงาน บอกเพียงส่วนที่เป็นประโยชน์ อย่างเช่น จะช่วยสร้างงานให้คนในพื้นที่เท่านั้น แต่ในความเป็นจริงโรงไฟฟ้าส่วนใหญ่ต้องการแรงงานสายวิศวกรรม ขณะที่ชาวบ้านในพื้นที่ประกอบอาชีพเกษตรกร
นอกจากนี้ เขายังสังเกตว่าโรงไฟฟ้านาบอนเริ่มถมที่ดิน เตรียมก่อสร้างทั้งที่ยังไม่ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน จึงไม่สามารถปล่อยให้เกิดขึ้นได้
– กระทบต่อสุขภาพคนในพื้นที่
วิชัย เปิดเผยว่า หากมีการก่อสร้างโรงไฟฟ้า จะทำให้ประชาชนมากกว่า 8,000 คนได้รับผลกระทบทางด้านสุขภาพจากปัญหามลพิษ และปัญหาน้ำเน่าเสีย เนื่องจากบริเวณที่สร้างโรงไฟฟ้าเป็นพื้นที่ชุมชน
#โรงไฟฟ้านาบอนจะเป็นอย่างไรต่อไป?
เมื่อช่วงเที่ยงของวันนี้ ตัวแทนจาก Save นาบอนได้เข้าไปหารือกับสมพาศ นิลพันธ์ ที่ปรึกษาสำนักงานปลัดสำนักนายกฯ ที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบข้าราชการ (ก.พ.ร.) ถึงปัญหาที่เกิดขึ้น โดยสมพาศ กล่าวว่า ปัจจุบัน โครงการโรงไฟฟ้านาบอนนั้นทำรายงาน EIA แล้วจริง แต่ EIA ยังไม่ผ่าน รวมถึงยังไม่ได้รับอนุญาตก่อสร้างจากหน่วยงานท้องถิ่น ตอนนี้จึงยังไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างใดๆ ได้จนกว่าจะผ่านขั้นตอนทั้งหมด และหลังจากนี้ จะมีการเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาคประชาชน และเอกชนมาหารือร่วมกันต่อไป
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลดังกล่าวสวนทางกับที่เรียง สีแก้วเปิดเผยกับ The Reporters ว่า รายงาน EIA ผ่านการเห็นชอบแล้ว และอยู่ระหว่างรอใบอนุญาตจากคณะกรรมการกิจการพลังงาน
การต่อสู้ที่ยาวนานมากว่า 2 ปีของชาวบ้านนาบอนยังคงไม่ยุติลง หลังจากนี้เรายังต้องจับตาดูกันต่อไปว่าโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลในพื้นที่ อ.นาบอน จะมีความคืบหน้าอย่างไร และดำเนินการต่อในทิศทางไหน เพราะท้ายที่สุดแล้ว ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการมากที่สุดอาจจะไม่ใช่ผู้เซ็นอนุมัติ แต่อาจเป็นชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในชุมชนนั้นเอง
อ้างอิงจาก
https://siamrath.co.th/n/258771
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_3089335
https://www.dailynews.co.th/news/576884/
https://news.thaipbs.or.th/content/310743
https://web.facebook.com/TheReportersTH/posts/3178869969030048
https://web.facebook.com/TheReportersTH/posts/3178098502440528
https://greennews.agency/?p=26876
https://www.voicetv.co.th/read/PKW9SM-_l
https://mgronline.com/daily/detail/9620000112765
https://prachatai.com/journal/2021/07/93864
https://www.thebangkokinsight.com/…/environment…/716894/
https://thainews.prd.go.th/…/detail/TCATG190705193413699
https://www.cot.co.th/…/%e0%b8%88%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0…/
https://www.cot.co.th/…/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0…/
#Saveนาบอน #Explainer #TheMATTER