ผลเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการของฟิลิปปินส์ออกมาแล้ว และไม่ผิดจากโพลนักเมื่อผู้ได้รับชัยชนะในตำแหน่งประธานาธิบดีคือ เฟอร์ดินานด์ “บองบอง” มาร์กอส จูเนียร์ ลูกชายของอดีตเผด็จการ เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส คำถามน่าสนใจคือทำไมเลือดเนื้อของเผด็จการถึงกลับขึ้นมาได้อีกครั้ง คนฟิลิปปินส์ไม่ระอาหรือ แล้วทิศทางของฟิลิปปินส์หลังจากนี้จะเป็นอย่างไร
บองบอง เป็นลูกชายเพียงคนเดียวของ เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ซึ่งพ่อของเขาคืออดีตเผด็จการที่ครองอำนาจในประเทศระหว่างปี 1965 – 1986 ก่อนที่จะถูกโค่นล้มด้วยขบวนการ People Power Revolution แล้วต้องลี้ภัยไปที่ฮาวาย โดยระหว่างที่มาร์กอสผู้พ่อครองอำนาจ มีการประกาศใช้กฎอัยการศึกอย่างต่อเนื่องถึง 12 ปี และมีการใช้ข้ออ้างคอมมิวนิสต์เพื่อปิดปากสื่อมวลชน ริดรอนเสรีภาพ กวาดล้างผู้เห็นต่างทางการเมือง มีการประเมินจากแอมเนสตี้ว่าระหว่างช่วงที่ใช้กฎอัยการศึก มีผู้ถูกจับกุมราว 70,000 คน ซ้อมทรมาน 34,000 คน และมีอย่างน้อย 3,240 คนที่เสียชีวิตจากเจ้าหน้าที่รัฐฟิลิปปินส์
ไม่เพียงแต่ความเหี้ยมโหดเท่านั้น มาร์กอสผู้พ่อยังถูกนิยามว่าเป็น ‘โจราธิปไตย’ โดยสื่อท้องถิ่นประเมินว่าตระกูลมาร์กอสทุจริตเงินหลวงไปมากถึง 10 พันล้านดอลลาร์ และมีการรายงานจากสหรัฐฯ ว่า ตอนที่ครอบครัวมาร์กอสเข้าสู่ฮาวาย สหรัฐฯ ได้ยึดทองคำและอัญมณีมูลค่า 4 ล้านดอลลาร์ รวมถึงลังเก็บเงินสดมากถึง 22 ลัง ขณะที่ในบ้านพักของประธานาธิบดีมีทั้งภาพเขียน, เสื้อผ้าแบรนด์ รวมถึงรองเท้ายี่ห้อดังมากกว่า 1,200 คู่ที่ภรรยาของเขา อีเมลดา มาร์กอส ทิ้งเอาไว้ (สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่ามากกว่า 3,000 คู่) นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่ตระกูลมาร์กอสเลี่ยงไม่ยอมจ่ายภาษี ซึ่งสะสมรวมกับดอกเบี้ยถึงตอนนี้เป็นเงินราว 3.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ134 ล้านล้านบาท) และถึงตอนนี้ก็ยังไม่จ่าย ซึ่งน่าจับตามองว่าอำนาจที่กลับมาอยู่ในมือตระกูลมาร์กอสจะทำให้พวกเขารอดพ้นจากคดีนี้หรือเปล่า
ทั้งที่ฉาวโฉ่และเหี้ยมโหด แล้วทำไมคนฟิลิปปินส์ถึงยอมให้ตระกูลเผด็จการกลับมาเรืองอำนาจอีกครั้ง? ประเด็นนี้อยากชวนทำความเข้าใจสภาพบริบทการเมืองของฟิลิปปินส์เสียก่อน โดยในระยะที่ผ่านมานี้ 2 ประเด็นใหญ่ที่ถูกพูดถึงมากในฟิลิปปินส์คือ ความตกต่ำของเศรษฐกิจ และข้อพิพาทในทะเลจีนใต้
อันที่จริง ถ้าดูตามตัวเลขในช่วงก่อนโรคระบาดเศรษฐกิจของฟิลิปปินส์เติบโตในระดับ 6-7% ติดต่อกันมาตั้งแต่ปี 2016 – 2019 ก่อนที่จะติดลบในช่วงโรคระบาด และกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งตั้งแต่ปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม สภาพสังคมฟิลิปปินส์กำลังเผชิญปัญหาความเหลื่อมล้ำขั้นสูงสุด (ไม่แพ้ประเทศไทย) โดยฟิลิปปินส์มีประชากรทั้งหมด 110 ล้านคน มีกลุ่มชาติพันธุ์กว่า 110 กลุ่มซึ่งอาศัยอยู่แยกกันตามหมู่เกาะกว่า 7,000 แห่งของฟิลิปปินส์ ขณะที่มีรายได้ต่อหัวเฉลี่ยปีละ 3,300 ดอลลาร์ หรือประมาณ 114,250 บาท (ไทยอยู่ที่คนละ 248,790 บาท/ ปี) เท่านั้น นอกจากนี้ยังมีปัญหาคนไร้บ้านที่สูงมากราว 4.5 ล้านคนทั่วประเทศ
ประเด็นสำคัญอีกประการคือ ข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ ซึ่งฟิลิปปินส์พยายามอ้างกรรมสิทธิ์เหนือพื้นที่บางส่วน แต่เมื่อจีนเข้ามาสร้างฐานทัพ รวมถึงส่งกองเรือลาดตระเวนทำให้เกิดการกระทบกระทั่ง และทำให้ประเทศหมู่เกาะอย่างฟิลิปปินส์รู้สึกไม่สบายใจ
นอกจากปัจจัยทางสังคม เศรษฐกิจ การเมืองที่เอื้อให้มาร์กอสกลับมาอีกครั้ง ทางตระกูลมาร์กอสเองก็ไม่ได้กระดิกเท้านั่งไถเฟซบุ๊กรอให้อำนาจตกลงสู่มือ พวกเขามีการดำเนินการเพื่อการเลือกตั้งครั้งนี้อย่างเป็นระบบ
ประการแรกคือ ล็อบบี้ให้ตระกูลการเมืองหนุนหลัง การเมืองฟิลิปปินส์นั้นก็ไม่ต่างจากไทยนัก โดยกลุ่มผู้มีอำนาจประจำท้องถิ่นที่สำคัญแบ่งแยกออกเป็น 9 ตระกูล และบางตระกูลที่สำคัญอย่าง ดูเตเตร์ ของอดีตประธานาธิบดีได้ประกาศจับมือกับตระกูล มาร์กอส อย่างเปิดเผย โดยส่งลูกสาว ซารา ดูเตอร์เต-คาร์ปิโอ ลงสมัครตำแหน่งรองประธานาธิบดี นอกจากนี้ยังมีตระกูลเอสตราดา และมาการ์ปากอล ที่ประกาศสนับสนุนลูกชายของอดีตเผด็จการฟิลิปปินส์เช่นกัน
สาเหตุที่สองคือ ความทรงจำต่อตระกูลมาร์กอสที่แตกต่างกัน ขณะที่คนบางกลุ่มมองว่านี่คือตระกูลจอมฉ้อฉลที่โกงเงินประเทศไปกว่า 10 พันล้านดอลลาร์ สำหรับคนรากหญ้าและผู้ที่อาศัยอยู่ในชนบทแล้ว นโยบายประชานิยมของ มาร์กอส ผู้พ่อคือการกระจายการพัฒนาสู่ชนบท และทำให้พวกเขามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จนมีการเรียกการโค่นล้มเผด็จการในปี 1986 ว่าคือ สองนคราประชาธิปไตยเวอร์ชั่นฟิลิปปินส์ หรือท่ี วงศ์พันธ์ อมรินทร์เทวา เขียนไว้ในบทความของ 101world ว่า “คนชนบทตั้งรัฐบาล คนมะนิลาล้มรัฐบาล”
อีกประเด็นสำคัญที่สนับสนุนสาเหตุข้อสองคือ การเขียนประวัติศาสตร์ที่ไม่รัดกุมของผู้ชนะ ระบบการศึกษาของฟิลิปปินส์ให้คุณค่ากับการเรียนประวัติศาสตร์น้อย เน้นการท่องจำ และไม่ได้พูดถึงช่วงเวลาที่ตระกูล มาร์กอส ปกครองประเทศมากเท่าที่ควร แต่เน้นไปที่หลักสูตรสร้างความเป็นชาตินิยม ทำให้คนรุ่นใหม่ในประเทศบางส่วนไม่ได้มองว่าตระกูล มาร์กอส คืออดีตเผด็จการที่น่ากลัว และทำให้คนอายุต่ำกว่า 30 – 40 ปีกลายเป็นฐานเสียงสำคัญของ บองบอง
นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าตระกูลมาร์กอสได้จ้างบริษัทแห่งหนึ่งเพื่อปรับปรุงภาพลักษณ์ผ่านทางโซเชียล มีเดีย โดยสำนักข่าว Rappler รายงานว่าการรีแบรนด์นี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2016 หรือปีที่ บองบองลงชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นครั้งแรก โดยพยายามเปลี่ยนภาพลักษณ์การทุจริต ละเมิดสิทธิมนุษยชน รวมถึงประโคมความสำเร็จในยุค มาร์กอส ผู้พ่อให้เกินความจริง พร้อมกับทั้งใส่ร้ายป้ายสีนักการเมืองคู่แข่งอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในเวลาต่อมาข้อมูลเหล่านี้ถูกเฟซบุ๊กลบออก เนื่องจากมีลักษณะของ “สแปม”
อย่างไรก็ตาม การปรับปรุงภาพลักษณ์ของตระกูลมาร์กอสยังดำเนินอย่างต่อเนื่อง โดย Rappler รายงานข้อมูลถึงเดือนกันยายน ปี 2019 พบว่ามี 360 เพจและ 280 กรุ๊ปในเฟซบุ๊กที่ถูกตั้งขึ้นเพื่อเผยแพร่ข้อมูลอีกด้านของตระกูลมาร์กอส และความพยายามอย่างต่อเนื่องก็นับว่าประสบความสำเร็จ เมื่อ บองบอง กุมชัยในการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งนี้ และกู้คืนความยิ่งใหญ่ให้แก่ตระกูลมาร์กอสอีกครั้ง
แล้วอีก 6 ปีหลังจากนี้นโยบายของฟิลิปปินส์จะเดินหน้าไปในทิศทางไหน และจะส่งผลกับไทยและอาเซียนอย่างไรบ้าง
“ชาวฟิลลิปปินส์จะต้องเผชิญวิกฤตด้วยความเป็นหนึ่งเดียว ในฐานะประเทศเดียว และในฐานะคนๆ เดียว” บองบอง กล่าวไว้ในตอนลงสมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีและย้ำว่า เขาจะเป็นผู้นำที่ทำให้ “ฟิลิปปินส์กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง” ซึ่งถ้าถอดความจากสิ่งที่เขาพูดตอนหาเสียงและนโยบายที่พ่อของเขาเคยทำ พอจะตีความได้ว่าอีก 6 ปีหลังจากนี้ ฟิลิปปินส์จะถูกปกครองด้วยผู้นำประชานิยมแบบขวา ซึ่งประกาศจะลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ พัฒนาคุณภาพชีวิตรากหญ้า ขณะที่ระเบียบทางการเมืองจะถูกเมินเฉย สิทธิเสรีภาพของประชาชนจะเลือนราง และสิทธิมนุษยชนจะถูกกดทับ
ในระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่งวุฒิสภา บองบอง ได้ช่วยผ่านร่างกฎหมายหลายตัวที่ที่กระจายอำนาจลงสู่ท้องถิ่น ขณะที่ระหว่างหาเสียงเขาก็ได้ยืนยันว่าจะมีการพัฒนาภาคเกษตรอย่างจริงจัง ยกตัวอย่างที่เขากล่าวว่าได้มีการร่างพิมพ์เขียวสำหรับแผนพัฒนาการผลิตเนื้อหมูในประเทศไว้แล้ว รวมถึงยังยืนยันว่าจะลดความแออัดของกรุงมะนิลาให้สำเร็จ
แต่ในทางกลับกัน บองบอง อาจใช้อำนาจในฐานะประธานาธิบดีโดยไม่สนธรรมาภิบาลนัก โดยนอกจาคดีเลี่ยงภาษีที่อาจเงียบหายไปตลอดกาลแล้ว เขายังยืนยันว่าเขาจะดำเนินนโยบายปราบปรามยาเสพติดและต่อสู้กับกลุ่มคอมมิวนิสต์แบบกำปั้นเหล็ก เหมือนที่ โรดริโก ดูเตอร์เต ดำเนินมาต่อไป หรือหมายถึงว่าการละเมิดสิทธิมนุษยชน ฆ่าตัดตอน และเด็ดขาดจะดำเนินต่อไป
และสำหรับข้อพิพาทระหว่างประเทศ บองบอง ยืนยันว่าถ้าเขาได้เป็นผู้นำประเทศ เขาจะรีบเจรจาเพื่อยุติข้อพิพาทในทะเลจีนใต้กับจีน และจะรักษาสัมพันธ์ที่ดีกับสหรัฐฯ เอาไว้ นอกจากนี้ ยังกล่าวว่าอยากที่จะกระชับความสัมพันธ์กับรัสเซียให้แน่นแฟ่นยิ่งขึ้น หรือเรียกได้ว่า บองบอง พร้อมดำเนินนโยบายการต่างประเทศแบบ ‘ปลาไหล’ คือไม่ฝักใฝ่ฝ่ายไหน แต่ผลประโยชน์ของประเทศต้องเป็นอันดับหนึ่ง
แล้วอาเซียนล่ะจะเป็นอย่างไรต่อไป? ถ้าเรามองทิศทางของผู้นำ 10 ชาติอาเซียนในเวลานี้ เราอาจประเมินได้ว่าการขึ้นมาของ บองบอง มีแนวโน้มทำให้อาเซียนหันขวามากขึ้น หรืออีกแบบหนึ่งคือไม่ทำให้อาเซียนเปลี่ยนแปลงไปมากนัก ยังคงรวมตัวกันแบบหลวมๆ ไม่สามารถมีแนวนโยบายร่วมกัน และยังคงเป็นเพียงแค่ ‘เสือกระดาษ’ ไม่สามารถไกล่เกลี่ยข้อขัดแย้ง หรือกดดันเมื่อเกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนขึ้นในประเทศสมาชิกได้ หรือยกตัวอย่างให้ชัดเจนคือ ภาพของการเมืองเมียนมาร์ในเวลานี้ ที่สุดท้ายอาเซียนก็ไม่สามารถช่วยเหลือประชาชนเมียนมาร์ได้เลย
อ้างอิง:
https://www.bbc.com/news/world-asia-61212659
https://www.the101.world/political-landscape-philippines-election/
https://www.reuters.com/investigates/special-report/philippines-election-marcos-fortune/
https://www.the101.world/political-landscape-philippines-election/
https://www.the101.world/ph-election-2022-marcos-return/
https://www.rappler.com/nation/elections/bongbong-marcos-to-run-president-2022/
https://www.bbc.com/thai/international-56461377