พื้นที่ในทะเลจีนใต้เป็นพื้นที่พิพาทมานานนับหลายร้อยปีแล้ว โดยเฉพาะบริเวณหมู่เกาะสแปรตลีย์ (Spratly Islands) ที่มีเกาะเล็ก เกาะใหญ่ หลายร้อยเกาะตั้งเรียงรายกัน ซึ่งล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งของทรัพยากรที่สำคัญ ส่งผลให้เกิดการอ้างกรรมสิทธิ์จากหลายประเทศ ได้แก่ จีน เวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย บรูไน และไต้หวัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา กองทัพจีนได้อ้างอำนาจอธิปไตยเหนือสันดอนทราย ‘แซนดี้เคย์ (Sandy Cay)’ ส่วนหนึ่งของหมู่เกาะสแปรตลีย์ ด้วยการชูธงชาติจีน

cr. Global Times
ต่อมา (27 เมษายน) เจ้าหน้าที่ฟิลิปปินส์ 6 คนก็แสดงสัญลักษณ์อธิปไตยของฟิลิปปินส์บนแซนดี้เคย์เช่นกัน ส่งผลให้ถูกหน่วยยามฝั่งของจีนกล่าวหาว่ารุกล้ำดินแดนจีน และเรียกร้องให้ยุติการรุกล้ำอธิปไตยแห่งดินแดนของจีนในทันที ซึ่งทั้งสองเหตุการณ์ล้วนยิ่งเพิ่มความตึงเครียดในทะเลจีนใต้
ทั้งนี้ ข้อพิพาทเหนือหมู่เกาะสแปรตลีย์ เกิดขึ้นมานับไม่ถ้วนแล้ว และไม่มีใครรู้ว่าความขัดแย้งดังกล่าวจะยุติลงเมื่อไร ดังนั้น The MATTER อยากชวนทุกคนย้อนดูข้อพิพาทที่ผ่านมา เพื่อเข้าใจปมปัญหาดังกล่าวมากยิ่งขึ้น
ข้อพิพาททะเลจีนใต้ กินเวลามานับร้อยปี
แม้ว่าขณะนี้พื้นที่ที่เป็นประเด็นจะเป็นเพียงสันดอนทราย ที่ตั้งอยู่ในหมู่เกาะสแปรตลีย์ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าการรุกคืบเข้ามาจีน และอ้างอำนาจอธิปไตยเหนือเกาะดังกล่าว จะยิ่งเพิ่มความตึงเครียดที่เคยมีมาอยู่แล้ว
เนื่องจากที่ผ่านมา ปัญหาความขัดแย้งกรณีพิพาทพื้นที่เกาะสแปรตลีย์ เริ่มต้นจากการที่ ‘พื้นที่บริเวณนี้ไม่มีการปรากฏประเทศ ที่อ้างสิทธิ์ของตนเหนือดินแดนเหล่านั้นอย่างชัดเจน’ จึงทำให้ประเทศต่างๆ พยายามที่จะส่งกำลังทหารเข้าไปยึดครองเกาะต่างๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ด้วยเหตุที่ว่า บริเวณหมู่เกาะสแปรตลีย์เป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญในด้านการเมือง ความมั่นคง การคมนาคม และเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการคาดการณ์ว่าบริเวณพื้นที่นี้ มีแหล่งน้ำมันอยู่จำนวนมหาศาล อีกทั้งยังเป็นเส้นทางการเดินเรือที่สำคัญเป็นอันดับ 2 ของโลก ดังนั้นทุกประเทศจึงอ้างสิทธิ์เหนือหมู่เกาะแห่งนี้
ใครเป็นเจ้าของหมู่เกาะสแปรตลีย์ที่แท้จริง?
ประเทศที่อ้างกรรมสิทธิ์ ได้แก่ จีน ฟิลิปปินส์ เวียดนาม มาเลเซีย บรูไน และไต้หวัน อย่างไรก็ดี หากย้อนไปก่อนศตวรรษที่ 20 จีนและไต้หวันถือเป็นผู้เริ่มอ้างกรรมสิทธิ์เหนือดินแดนดังกล่าวเป็นชาติแรกๆ โดยระบุว่า ตนเป็นผู้ครอบครองกรรมสิทธิ์ของหมู่เกาะสแปรตลีย์ดินแดนอื่นๆ ในทะเลจีนใต้ทั้งหมด
จีนให้เหตุผลว่าชาวจีนเป็นผู้ค้นพบดินแดน และปกครองดินแดนดังกล่าวเป็นชาติแรกตั้งแต่ราวชวงศ์ฮั่น จนกระทั่งศตวรรษที่ 20 เวียดนามได้อ้างกรรมสิทธิ์เช่นกัน โดยอ้างจากหลักฐานประวัติศาสตร์ในยุคที่ฝรั่งเศสปกครองเวียดนามเป็นอาณานิคม พอถึงปี 1950 ฟิลิปปินส์ได้อ้างกรรมสิทธิ์ครอบครองดินแดนบางส่วนของหมู่เกาะ โดยอ้างเหตุผลว่าเพราะไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง
ส่วนมาเลเซียและบรูไนได้อ้างกรรมสิทธิ์เหนือเกาะและทะเลส่วนใหญ่ โดยอ้างหลักฐานจากกฎหมายทะเลและไหล่ทวีปในปลายทศวรรษที่ 1970 และ 1980
เท่ากับว่าแต่ประเทศมีเหตุผลในการอ้างกรรมสิทธิ์ที่แตกต่างกันออกไป ทั้งนี้หากอิงตามหลักเกณฑ์ของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ปี 1982 (UNCLOS) พื้นที่บริเวณดังกล่าวจะเป็นกรรมสิทธิ์ของประเทศขึ้นอยู่กับเส้นแบ่งเขตเศรษฐกิจ (ตามรอยประสีแดงในภาพ) โดยยึดหลัก 200 ไมล์จากชายฝั่งทะเล ทว่าจีนไม่ได้ยึดหลักดังกล่าว จะยึดเป็นรอยเส้นประ 10 เส้น
ส่งผลให้ตลอด 2 ทศวรรษที่ผ่านมา จีนได้ครอบครองเกาะ สันดอนทราย แนวปะการังหลายแห่ง โดยสร้างการท่าเรือ รันเวย์ และมีกองทัพประจำการอยู่ในแต่ละพื้นที่
บทบาทของสหรัฐฯ
บทวิเคราะห์ของ BBC ว่าด้วย ทะเลจีนใต้สำคัญอย่างไร และจีนมีแผนการอะไรต่อไปในการครอบครองกรรมสิทธิ์เหนือบริเวณนี้ ระบุว่า จีนและสหรัฐฯ มักออกมาแลกคำวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างเผ็ดร้อนในเรื่องทะเลจีนใต้ แต่หากพูดโดยรวมแล้ว ทั้งสองฝ่ายมีแนวทางจัดการเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่แตกต่างกัน แม้จะมีความขัดแย้งทางด้านการค้า
ส่วนสหรัฐฯ แม้จะไม่ใช่คู่ขัดแย้งในข้อพิพาททะเลจีนใต้ แต่ก็ได้ยืนยันถึงเสรีภาพในการเดินเรือ ด้วยการส่งเรือและเครื่องบินของทหารหลายลำเข้ามาใกล้กับบริเวณเกาะพิพาท ซึ่งการกระทำดังกล่าวก็ถือเป็นส่วนหนึ่งในการเพิ่มความตึงเครียดในพื้นที่นี้เช่นกัน

Photo by Mandel NGAN / AFP
อย่างไรก็ดี ขณะนี้หลายฝ่ายกังวลว่าความขัดแย้งดังกล่าวจะนำไปสู่สงครามระดับภูมิภาคหรือไม่ เพราะไม่ทราบแน่ชัดว่าสหรัฐฯ ที่นำโดยประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ จะมีท่าทีต่อเรื่องนี้อย่างไร ทว่าตอนนี้สหรัฐฯ และฟิลิปปินส์กำลังซ้อมรบด้วยกันอยู่ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความศักยภาพด้านกลาโหมอย่างไร้เทียมทานร่วมกัน
ทางด้านจีนแถลงวิจารณ์แผนการซ้อมรบนี้ว่า เป็นการบ่อนทำลายเสถียรภาพทางยุทธศาสตร์ภายในภูมิภาคเอเชีย และกล่าวหาฟิลิปปินส์ว่า สมรู้ร่วมคิดกับกลุ่มประเทศนอกภูมิภาค
อ้างอิงจาก
ชญาภรณ์ ทองฉิม. (2012). ปัจจัยและลักษณะความขัดแย้งเหนือหมู่เกาะสแปรตลีย์. คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.