เปิดเอกสารชี้แจงของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ต่อศาลรัฐธรรมนูญ กรณีดำรงตำแหน่งนานเกิน 8 ปี ระบุว่า จะนับจาก 23 สิงหาคม ปี 2557 ไม่ได้ เพราะตนได้พ้นจากความเป็นนายกฯ หลังจากรัฐธรรมนูญปี 2560 ประกาศใช้ในวันที่ 6 เมษายน ปี 2560
“ข้าพเจ้าสำนึกและปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีตลอดมาด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและด้วยความจงรักภักดี ด้วยสำนึกในหน้าที่และการดำรงไว้ซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยอันเป็นหลักการและเจตนารมณ์ของ รธน.ทุกฉบับ ไม่ใช่แค่เฉพาะแต่ฉบับพุทธศักราช 2560 ได้ไม่ยิ่งหย่อนและไม่น้อยไปกว่าผู้ร้อง”
เอกสารชี้แจงยังระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ ก็เชื่อมั่นว่าคนที่มีอำนาจเด็ดขาดจะทำการทุจริตได้ง่าย และจะทำได้อย่างไม่มีข้อจำกัดหากปล่อยให้ครองอำนาจนานเกินไป ซึ่งจะส่งผลเสียต่อประเทศชาติ “ดังเช่นที่มีตัวอย่างให้เห็นเป็นรูปธรรมในประเทศของเราเมื่อไม่นานมานี้”
“ไม่ว่าข้าพเจ้าจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาเป็นระยะเวลาเท่าใดก็ตาม แต่ตลอดระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าไม่เคยใช้อำนาจการเป็นผู้นำประเทศหรืออำนาจทางการเมืองเพื่อประโยชน์ของตัวข้าพเจ้าเอง หรือของวงศาคณาญาติ หรือของพวกพ้อง”
“และไม่เคยแม้แต่จะคิดช่วยเหลือหรือสนับสนุนให้ผู้ที่เคยเป็นผู้นำประเทศที่มีลักษณะเช่นที่ผู้ร้องยกขึ้นกล่าว หรือวงศาคณาญาติของผู้นั้น ที่เคยทำความเสียหายให้กับประเทศหรือประโยชน์สาธารณะของประชาชนชาวไทย กลับมามีอำนาจหรือกลับมาเป็นผู้นำประเทศเพื่อใช้อำนาจในการเป็นผู้นำประเทศซึ่งเป็นอำนาจสูงสุดในประเทศก่อผลเสียต่อประโยชน์สาธารณะหรือประโยชน์ของประเทศชาติอย่างรุนแรงได้อีก”
เอกสารระบุอีกว่า พล.อ.ประยุทธ์ชี้แจงว่า ไม่ว่าตนจะดำรงตำแหย่งมานานเท่าไหร่ ตราบใดที่ไม่ได้ประพฤติตนในลักษณะที่เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายต่อประเทศ ระยะเวลาการดำรงตำแหน่ง ก็ไม่ได้จัดต่อหลักมาตรฐานสากลและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด
พล.อ.ประยุทธ์ยังอ้างด้วยว่า ศาลต้องตีความและใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญในเรื่องคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามตามหลักกฎหมาย ไม่ใช่ตามข้อเท็จจริงที่รู้กันอยู่ทั่วไปของประชาชน
นอกจากนี้ ยังระบุอีกว่า “หลักเรื่องการรับฟังข้อเท็จจริงที่รู้กันอยู่โดยทั่วไปนี้ เป็นหลักกฎหมายที่ใช้ในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลเท่านั้น มิใช่หลักกฎหมายที่ใช้ในการใช้กฎหมายหรือการตีความกฎหมายตามที่ผู้ร้องเข้าใจ กล่าวคือ หากมีการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงใดเป็นพยานหลักฐานแล้วปรากฎว่าข้อเท็จจริงนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่รู้กันอยู่โดยทั่วไป ผู้ที่ยกข้อเท็จจริงนั้นขึ้นกล่าวอ้างเป็นพยานหลักฐานก็ไม่จำเป็นต้องนำพยานหลักฐานใดมาสิบพิสูจน์ถึงความมีอยู่จริงของข้อเท็จจริงนั้น”