ตลอด 70 ปี ในรัชสมัยของพระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 นานับวิกฤตประดังเข้ามา ทั้งสงครามเย็น ความถดถอยทางเศรษฐกิจ ปัญหาโรคระบาด ที่สำคัญวิกฤตของสถาบันกษัตริย์เอง ซึ่งมีแนวคิดตรงข้ามกับระบอบประชาธิปไตยที่เชื่อเรื่องคนเท่ากัน
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็นว่า รัชสมัยของพระองค์กลายเป็นยุคสมัยที่สถาบันกษัตริย์ของอังกฤษรุ่งเรืองขึ้นสู่จุดสูงสุด
ดังนั้น น่าสนใจว่าตลอดการครองราชย์อันยาวนาน 70 ปี อะไรคือเคล็ดลับเบื้องหลังความสำเร็จของพระองค์ ที่ทำให้ทรงครองใจคนหลายล้านได้ และพระองค์ทำอย่างไรถึงทำให้สถาบันกษัตริย์อังกฤษยังยืนยงอยู่ได้ ท่ามกลางสายลมของความเปลี่ยนแปลงที่ชื่อ ‘ประชาธิปไตย’
เปิดรับคำวิจารณ์
ตลอดการครองราชย์ยาวนาน 70 ปี พระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 อยู่บนบัลลังก์ท่ามกลางวิกฤตรอบด้าน และสิ่งหนึ่งที่ทรงทำอย่างสม่ำเสมอคือ รับฟังคำวิจารณ์
ย้อนกลับไปในปี 1957 หลังการขึ้นครองราชย์เพียง 5 ปี ได้มีนักจัดรายการวิทยุนาม ลอร์ด อัลตรินแชม ออกมาวิจารณ์ว่าพระราชินีเอลิซาเบธทำตัวเหินห่างกับประชาชน สนใจแต่ชนชั้นสูงไม่ใส่ใจกลุ่มแรงงาน และยังวิพากษ์ว่าพระองค์กล่าวสุนทพจน์ได้อย่าง “น่ารำคาญมาก” เขายังเคยเรียกพระองค์ว่า “เด็กมัธยมจอมอวดดี” ในรายการวิทยุชื่อ Impacet ของช่อง ITV
และถึงแม้หลังอัดรายการ Impact ลอร์ด อัลตรินแซมจะถูกต่อยเข้าที่หน้าอย่างจังจากกลุ่มคนรักสถาบัน แต่ก็ทำให้เขาได้พูดคุยกับมาร์ติน ชาร์เตอร์ลิส ผู้ช่วยเลขาฯ ส่วนตัวของพระราชินี และได้ให้คำแนะนำถึงสิ่งที่ควรทำและเลิกทำ จนปีนั้นเป็นปีแรกที่พระราชินีเอลิซาเบธเริ่มตรัสกับพสกนิกรผ่านโทรทัศน์ ในวันคริสต์มาส และเริ่มมีการจัดงานเลี้ยงไม่เป็นทางการต่างๆ ในนามพระองค์
ประเด็นสำคัญที่สถาบันกษัตริย์อังกฤษถูกวิจารณ์อย่างสม่ำเสมอคือ รายได้และการใข้จ่าย ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 ภายหลังถูกสังคมตั้งคำถามถึงการใช้เงินและการเสียภาษี พระราชินีเอลิซาเบธได้แจ้งกับนายกฯ จอห์น เมเจอร์ว่าทรงยอมที่จะเสียภาษีเช่นเดียวกับประชาชนทั่วไป (เงินบริจาค) ทำให้ในปี 1993 กลายเป็นปีแรกที่สถาบันกษัตริย์ในอังกฤษเสียภาษี นับตั้งแต่ทศวรรษ 1930
ต่อมาในปี 2001 ทางพระราชวังยังยินยอมเปิดเผยรายงานรายได้ประจำปีต่อปีต่อสาธารณชน เพื่อยืนยันความโปร่งใสให้กับสถาบัน
ปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย
“กษัตริย์จะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อเขาหรือเธอสามารถให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์หรือเห็นผลลัพธ์เชิงประจักษ์แก่บรรดารัฐมนตรีได้” จากหนังสือ The English Constitution โดย วอลเตอร์ แบจต์ (Walter Bagehot)
ถ้าข้างต้นคือเหตุสำคัญที่สถาบันอังกฤษยังดำรงอยู่ได้ ต้องถือว่าพระราชินีเอลิซาเบธที่มีชีวิตยืนยาวเกือบ 100 ปี และเคยพบผู้นำคนสำคัญตั้งแต่ เนลสัน แมนเดรา, วินสตัน เชอร์ชิล, ชาร์ล เดอ โกล และประธานาธิบดีอเมริกาอีก 13 คน น่าจะสอบผ่านฉลุย
แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุเดียวที่ทำให้ยุคสมัยของพระราชินีเอลิซาเบธยิ่งใหญ่ คงทน ยืนยงท่ามกลางสายลมแห่งประชาธิปไตย เพราะนอกจากประสบการณ์ที่มากล้น พระองค์ยังปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยตลอดเวลา
ในเรื่องภาพลักษณ์ ด้วยภูมิทัศน์ของเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป ทำให้เกิดชนชั้นกลางมากขึ้นในสังคมทั่วโลก และหนึ่งในสิ่งที่พระราชินีเอลิซาเบธให้ความสำคัญคือ การเอาชนะใจคนกลุ่มดังกล่าว ในปี 1970 พระองค์ทรงเปลี่ยนภาพของการเสด็จเยือนพสกนิกร จากที่เคยอยู่บนรถพระที่นั่งและโบกมือทักทาย กลายเป็นการลงมาเดินเคียงบ่าเคียงไหล่ผู้ที่มารอรับเสด็จ เปลี่ยนภาพของชนชั้นสูงที่อยู่บนหอคอยงาข้าง กลายเป็นคนธรรมดาที่จับต้องได้
ถึงแม้สถาบันกษัตริย์ในอังกฤษจะจริงจังมากกับความเป็นกลางทางการเมือง แต่ในบางประเด็นพวกเขาก็ออกมาแสดงจุดยืนอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในเรื่องความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญของยุคสมัยและคนรุ่นใหม่ให้ความสนใจ
ในปี 2021 พระราชินีเอลิซาเบธได้กล่าวสุนทรพจน์เปิดงาน COP26 ในสกอตแลนด์ เรียกร้องให้ผู้นำทั่วโลกเริ่มขยับอย่างจริงจังต่อปัญหาดังกล่าว ความจริงจังของพระองค์ถูกย้ำอีกครั้ง หลังมีคลิปวีดีโอที่พระองค์ทรงพูดคุยเป็นการส่วนตัวภายในงานว่า “มันน่ารำคาญมากนะ เวลาที่พวกเขาพูด (ภาวะโลกร้อน) แต่ไม่ลงมือทำสักที”
อันที่จริง ผู้ที่ผลักดันในเรื่องนี้มาตั้งแต่เนิ่นๆ คือ พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ซึ่งเพิ่งขึ้นครองราชย์ โดยพระองค์เคยกล่าวถึงปัญหามลพิษครั้งแรกในปี 1970 และกล่าวถึงเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน ซึ่งเรื่องนี้ยังต้องติดตามดูต่อไปว่า เมื่อพระองค์ได้รับตำแหน่งประมุขแห่งเครือจักรภพ รัฐบาลในเครือจะมีการขยับแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจังต่อเนื่องอย่างไร
และที่สำคัญ ราชวงศ์อังกฤษภายใต้พระราชินีเอลิซาเบธ ยังรู้ดีถึงความสำคัญของสื่อ โดยนอกจากสารคดี Royal Family ของบีบีซีในปี 1969 หรือซีรีย์ The Crown ทางช่องเนตฟลิกซ์แล้ว ทางวังยังได้มีการเปิดแอคเคาท์ทวิตเตอร์ @RoyalFamily ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 5 ล้านคน หรือ @KensingtonRoyal ที่มีผู้ติดตามกว่า 2.5 ล้านคน ทำให้ประชาชนรู้สึกใกล้ชิดกับราชวงศ์มากยิ่งขึ้น
สัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
ถ้าสถาบันกษัตริย์คือรากเหง้าอนุรักษ์นิยมในสังคมอังกฤษ พระราชินีเอลิซาเบธคือไม้ใหญ่ต้นนั้น
โรเบิร์ต ฮาร์ดแมน ผู้เชี่ยวชาญราชวงศ์อังกฤษกล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า “(พระราชินีเอลิซาเบธ) เธอคือร่างอวตารของชาติ (อังกฤษ) ที่ประกอบด้วยคุณค่าและประวัติศาสตร์ ในอังกฤษ เธอคือสะพานทาวเวอร์บริดจ์ คือรถโดยสารสีแดงสองชั้น (ขนส่งสาธารณะในลอนดอน) ที่มีขา และแน่นอนหอนาฬิกาบิ๊กเบน” หรือกล่าวได้ว่าเธอคือตัวแทนของความเป็นอังกฤษ ที่มีสองขา สองแขน เดินไปไหนมาไหนได้ และแน่นอนออกสื่อได้
และอย่างที่กล่าวไปว่าในรัชสมัยของพระองค์ ราชวงศ์อังกฤษใช้สื่ออย่างเข้มข้นและหลากหลาย ทำให้ความนิยมของสถาบันและราชวงศ์ไปไกลกว่าแค่ในประเทศ หรือเรียกได้ว่ามันกลายเป็น Soft Power ทางวัฒนธรรมอันทรงพลังที่กระตุ้นเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และสร้างชื่อเสียงให้อังกฤษไปพร้อมกัน
ตัวชี้วัดที่ดีอย่างหนึ่งคือ แอร์ไทม์ในวันนี้และเมื่อวาน ที่สื่อทั่วโลกมอบให้แก่ข่าวของราชวงศ์อังกฤษโดยพร้อมเพรียง
ในมุมเศรษฐกิจ อีวาน เดวี่ นักข่าวเศรษฐกิจของสำนักข่าวบีบีซีเคยประเมินไว้ว่า 10% ของนักท่องเที่ยวในอังกฤษ เข้ามาเพราะสนใจในเรื่องราวของราชวงศ์ และเขายังกล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า เป็นไปได้ที่จะมีมากกว่านั้นอีกมาก ที่ไม่ได้เข้ามาเพราะราชวงศ์โดยตรง แต่เข้ามาเพราะอารยธรรมอันรุ่มรวยที่ราชวงศ์มีส่วนเกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ ถ้าหากใครเคยไปกรุงลอนดอน น่าจะเคยเห็นภาพของพระราชินีเอลิซาเบธและราชวงส์ ที่ถูกปริ๊นแปะตามของชำร่วยต่างๆ ไม่ว่าจาน, แก้ว หรือธง หรือเรียได้ว่าพระองค์เป็นหนึ่งในไอคอนของอังกฤษ ที่นักท่องเที่ยวหลายคนยอมจ่ายเงินซื้อสินค้าติดไม้ติดมือ
พระราชนิสัยส่วนตัว
“พระราชินี (เอลิซาเบธ) เป็นตัวแทนของความเป็นอังกฤษ และมันจะเป็นเช่นนั้นเสมอ”
“ฉันคิดว่าพระองค์เป็นแรงบันดาลใจให้ทุกคน เธอเป็นสัญลักษณ์ เป็นต้นแบบให้ผู้หญิงในยุคสมัยนี้”
ทั้งสองข้อความข้างต้นมาจากคำให้สัมภาษณ์ของผู้ที่มารอหน้าพระราชวังวินเซอร์ในวาระพระราชสมภพครบ 90 ปีของพระราชินีเอลิซาเบธต่อสำนักข่าว VICE ในคำถามว่า “พระราชินีมีความหมายอย่างไรกับตัวคุณ?” และนอกจากความชื่นชมส่วนตัวแล้ว อันที่จริงพระราชินีเอลิซาเบธยังมักทำอะไรบางอย่างที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่า ‘แสบ’ ที่ทำให้พสกนิกรหลงรักอยู่เหมือนกัน
ในปี 2003 มงกุฎราชกุมารอับดุลเลาะห์แห่งราชวงศ์ซาอุดิอาระเบีย ได้เข้าพบพระองค์ที่พระราชวังบัลมอรัล ในสกอตแลนด์ โดยภายหลังการพูดคุยส่วนตัว พระองค์ได้เชิญให้มงกุฎราชกุมารชมพื้นที่ส่วนอื่นๆ ของพระราชวัง ซึ่งมงกุฎราชกุมารก็ตอบรับและกระโดดขึ้นรถในทันที ก่อนต้องแปลกใจ เมื่อโชเฟอร์กลับเป็นพระราชินีเอลิซาเบธเอง จะเรียกว่านี่เป็นความแสบส่วนตัว พร้อมกับที่สื่อสารเรื่องความเท่าเทียมทางเพศถึงว่าที่ผู้นำชาติซาอุฯ ก็ได้ เพราะซาอุฯ เพิ่งอนุญาตให้ผู้หญิงขับรถได้เองเมื่อปี 2018 นี่เอง
หรือในงานโอลิมปิกปี 2012 ที่อังกฤษเป็นเจ้าภาพ พระองค์ก็ได้ร่วมแสดงโฆษณาร่วมกับเจม บอนด์ โดยมีฉากหนึ่งที่พระองค์ยอมให้สตั๊นแมนท์แสดงเป็นพระองค์ แล้วกระโดดลงจากเฮลิคอปเตอร์ร่วมกับเจม บอนด์ลงมายังสนามที่ใช้ในการเปิดพิธีโอลิมปิก ซึ่งมองได้ว่าเป็นการส่งสารถึงความสำคัญของงานโอลิมปิก และความสนุกสนานไม่ถือตนในตัวเธอเองด้วย
ที่สำคัญอีกประการ พระองค์เป็นกษัตริย์ที่ทรงงานหนักอย่างยิ่ง เพราะครั้งที่พระองค์สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักเช่นเจ้าชายฟิลลิป ก็เลือกเลือกโผล่มาทำงานในวันถัดมาทันที เพื่อไม่ให้มีข้อครหา เช่นพระราชินีวิคตอเรียที่หายจากสาธารณชนหลายปีหลังสามีเสียชีวิต ซึ่งเรื่องนี้ก็แล้วแต่คนจะคิดว่าน่าชื่นชมหรือน่าเศร้า
ต้องติดตามกันต่อไปว่าราชวงศ์อังกฤษจะมีทิศทางเป็นอย่างไร ภายใต้การครองบัลลังก์ของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ลูกชายคนโตของพระราชินีเอลิซาเบธ แต่เป็นไปได้ว่าสถาบันกษัตริย์ของอังกฤษยังคงปรับตัวและเปิดรับฟังเสียงของประชาชนต่อไป เพราะนั่นคือ ขนมธรรมเธียมปฏิบัติที่มีมาอย่างยาวนานของราชวงศ์อังกฤษ
อ้างอิง:
https://www.thepeople.co/read/23343
https://thehill.com/policy/3633962-how-queen-elizabeth-changed-the-british-monarchy/
http://news.bbc.co.uk/onthisday/hi/dates/stories/november/26/newsid_2529000/2529209.stm
https://www.cheatsheet.com/entertainment/queen-elizabeth-terrified-saudi-crown-prince-driving.html/
https://www.vice.com/en/article/mvkvg4/queen-90-birthday-windsor-royalists-portraits
https://waymagazine.org/monarchy-of-the-united-kingdom/
https://www.bbc.com/thai/international-62837232