เข้าสู่การประชุมสภาฯ สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 2 ในวันนี้ (2 พฤศจิกายน) โดยมีวาระหนึ่งที่เป็นที่จับตา คือ การพิจารณาในวาระ 2-3 ของร่าง พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘ร่าง พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า’ ที่เสนอโดย เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล และคณะ
และหลังจากที่มีการบันทึกคะแนนใหม่ด้วยการขานชื่อและนับคะแนนด้วยมือ ซึ่งใช้เวลารวมแล้วมากกว่า 2 ชั่วโมง ประธานสภาฯ ก็ประกาศผลการลงมติในวาระ 3 แล้ว เมื่อเวลา 17.15 น. โดยมีการออกเสียงดังต่อไปนี้
- เห็นด้วย 194 เสียง
- ไม่เห็นด้วย 196 เสียง
- งดออกเสียง 15 เสียง
ก่อนหน้านี้ เมื่อเวลา 14.44 น. สภาฯ มีมติคว่ำร่างด้วยคะแนนเสียงไม่เห็นด้วย 177 ต่อ 173 เสียง (จำนวนผู้ลงมติ 365 คน) แต่เนื่องจากคะแนนห่างกันเพียง 4 เสียง สุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาฯ ทำหน้าที่ประธานสภาฯ จึงให้นับคะแนนใหม่ด้วยวิธีขานชื่อ ตามข้อบังคับฯ ลงคะแนนใหม่
สำหรับร่าง พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า มีสาระสำคัญหลักๆ คือ เป็นการแก้ไข พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 มาตรา 153 เดิม โดยมีการเพิ่มคำว่า ‘เพื่อการค้า’ เป็น “ผู้ใดประสงค์จะผลิตสุรา ‘เพื่อการค้า’ หรือมีเครื่องกลั่นสุราสำหรับผลิตสุราไว้ในครอบครอง” เพื่อให้ขอบเขตการอนุญาตผลิตสุรากว้างขึ้น
นอกจากนี้ คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ยังเสนอให้เพิ่มความเป็นมาตรา 153/1 แห่ง พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 เป็นความว่า “มาตรา 153/1 ผู้ใดประสงค์จะผลิตสุราที่มิใช่เพื่อการค้าตามชนิดและปริมาณที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง ให้จดแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับเครื่องกลั่นสำหรับผลิตสุรา ชนิดสุรา ขั้นตอนการผลิตและปริมาณการผลิตต่ออธิบดีตามแบบที่อธิบดีกำหนด”
อย่างไรก็ดี เมื่อวานนี้ (1 พฤศจิกายน) คณะรัฐมนตรี (ครม.) เพิ่งมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงอนุญาตผลิตสุรา พ.ศ. … ที่เป็นการกำหนดหลักเกณฑ์การขอ–ออกใบอนุญาตใหม่ ให้สามารถจัดเก็บภาษีอย่างมีประสิทธิภาพและรัดกุมยิ่งขึ้น จึงมีการตั้งข้อสังเกตกันว่า เป็นการออกกฎตัดหน้าสภาฯ เพื่อคว่ำร่าง พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า หรือไม่
ก่อนที่จะลงคะแนนในวันนี้ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค และ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ได้ลุกขึ้นอภิปรายถึงความจำเป็นที่ต้องผ่านร่างดังกล่าว โดยมองว่า ผู้ประกอบการไทยมีศักยภาพในระดับโลก และร่างกฎหมายดังกล่าว คือ ‘ความฝัน’ ของพวกเขา ขณะที่กฎกระทรวงที่ ครม. เพิ่งอนุมัติ เป็นเพียงการเปลี่ยนจากล็อกเก่าไปเป็นล็อกใหม่
“ศักยภาพของผู้ประกอบการ ไม่ว่าเขาจะทำยิน หรือว่าทำรัม อยู่ที่เชียงใหม่ หรืออยู่ที่หนองคาย หรือว่าจะอยู่ที่สงขลา หรือว่าจะอยู่ที่สุราษฎร์ธานี พวกเขาเป็นผู้ประกอบการระดับโลกทั้งนั้น ชนะที่กรุงปารีส ชนะที่โตเกียว ชนะที่ฮ่องกง ชนะคู่แข่งจากออสเตรเลีย ชนะคู่แข่งจากอาเจนตินา นี่คือระดับโลก สำหรับผู้ประกอบการระดับนี้ แบรนด์ไทยที่ไปในระดับโลก ใช้กฎกระทรวงคุม เค้าไม่ได้รับการปลดล็อกเลย กฎกระทรวงคือการเปลี่ยนล็อก จากล็อกเก่าไปเป็นล็อกใหม่” พิธากล่าว
อ้างอิงจาก