อีกเพียงแค่ 10 วัน การแข่งขันฟุตบอลโลกก็จะเปิดฉากขึ้นแล้ว แต่จนถึงตอนนี้ไทยยังเป็นชาติเดียวในอาเซียนที่ไม่ได้ลิขสิทธิ์ฉายฟุตบอลโลก
1,600 ล้านบาท คือมูลค่าลิขสิทธิ์ที่ไทยจะต้องจ่ายเพื่อให้ได้การถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2022 ซึ่งล่าสุด กสทช. ลงมติ 4 ต่อ 2 เห็นชอบอนุมัติเงินกองทุน 600 ล้านบาท โดยใช้เงินที่ได้รับการอนุมัติจากกองทุน กทปส.เพื่อซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย และให้ดูได้ผ่านผ่านฟรีทีวี – แต่ก็มีคำถามสำคัญว่า แล้วค่าลิขสิทธิ์ที่ขาดไปอีก 1 พันล้านบาท จะต้องได้รับการสนับสนุนจากไหน
แล้วประเทศอื่นๆ ในอาเซียน เสียค่าลิขสิทธิ์บอลโลกกันเท่าไหร่?
- มาเลเซีย ลิขสิทธิ์มูลค่า 261 ล้านบาท ครอบคลุมการถ่ายทอดสด 27 แมตช์
- เวียดนาม ลิขสิทธิ์มูลค่า 532 ล้านบาท ถ่ายทอดสดครบทุกแมตช์ (64 แมตช์)
- สิงคโปร์ ลิขสิทธิ์มูลค่า 670 ล้านบาท ถ่ายทอดสด 9 แมตช์ และขายแพ็กเกจ 3,165 บาท สำหรับคนที่ต้องการดูครบทุกแมตช์
- อินโดนีเซีย ลิขสิทธิ์มูลค่า 1,456 ล้านบาท ถ่ายทอดสดครบทุกแมตช์ (64 แมตช์)
- ฟิลิปปินส์ ลิขสิทธิ์มูลค่า 1,306 ล้านบาท ถ่ายทอดสดผ่านทาง TAP ด้วยระบบ Pay-Per-View (PPV) โดยขายแพ็กเกจราคา 1,300 บาท สำหรับคนที่ต้องการดูครบทุกแมตช์
- ลาว ได้ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดครบทุกแมตช์ แต่ไม่เปิดเผยมูลค่า
- เมียนมา ได้ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดครบทุกแมตช์ แต่ไม่เปิดเผยมูลค่า
ประเด็นที่ทำให้การซื้อลิขสิทธิ์ติดขัดนี้ มาจากการออกกฎมัสต์แฮฟ (Must Have) ที่กำหนดว่ามี 7 มหกรรมกีฬาที่คนไทยต้องดูฟรี ประกอบด้วย กีฬาซีเกมส์, อาเซียนพาราเกมส์, เอเชี่ยนเกมส์, เอเชี่ยนพาราเกมส์, โอลิมปิกเกมส์, พาราลิมปิกเกมส์ และฟุตบอลโลก ส่วนกฎมัสต์แครี่ (Must Carry) คือกฎที่บังคับให้แพลตฟอร์มบริการโทรทัศน์ทุกราย ที่ได้รับใบอนุญาตจาก กสทช. นำช่องฟรีทีวี ไปออกอากาศในทุกช่องทาง
สิขเรศ ศิรากานต์ นักวิชาการอิสระด้านสื่อสารมวลชน ให้สัมภาษณ์กับ PPTV โดยระบุว่า กฎดังกล่าวถือเป็นการปกป้องและส่งเสริมสิทธิของประชาชนในการเข้าถึงรายการต่างๆ ขณะเดียวกัน ก็ต้องมาพูดคุยถึงสิทธิทางการค้าของเหล่าผู้ประกอบการด้วย ซึ่งอาจทำให้เกิดการแทรงแซงทางการตลาดได้ และเสนอแนะว่า ควรลองดูโมเดลของต่างประเทศที่มีกฎ Must Have เหมือนกัน แต่ไม่ทำให้เกิดปัญหาขึ้นอย่างในไทย
อ้างอิงจาก