โทษประหารชีวิตยังจำเป็นอยู่ไหม? คำถามนี้นับว่าเป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดข้อถกเถียงกันในวงกว้าง บางคนก็บอกว่าจำเป็นสิ ไม่อย่างนั้นคนทำผิดก็ไม่กลัว แต่ในอีกด้านก็มองว่าเป็นเรื่องของการเคารพสิทธิมนุษยชน แล้วไหนจะเรื่องการจับแพะมารับโทษอีก
แต่สำหรับข้อถกเถียงดังกล่าว ทางสภาผู้แทนราษฎรมาเลเซียมองว่าโทษประหารไม่ได้ตอบโจทย์การลงโทษคนทำผิดเท่าไรนัก ทำให้เมื่อวานนี้ (3 เมษายน) สภาผู้แทนราษฎรมาเลเซียผ่านร่างกฎหมายยกเลิกโทษประหารชีวิตสถานเดียว [คือกฎหมายกำหนดบทลงโทษสำหรับความผิดนั้นเป็นประหารชีวิตอย่างเดียว] โดยจะส่งร่างกฎหมายดังกล่าวให้ทางวุฒิสภาและพระมหากษัตริย์พิจารณา เพื่อประกาศบังคับใช้ต่อไป
อย่างไรก็ดี สำนักข่าวต่างประเทศหลายๆ แห่งก็รายงานตรงกันว่าร่างกฎหมายดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะผ่านมติของวุฒิสภา แล้วได้ประกาศใช้
แรมคาร์ปาล ซิงห์ (Ramkarpal Singh) รองรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงยุติธรรมกล่าวว่า ปัจจุบัน ศาลต้องสั่งให้ลงโทษแขวนคอในอาชญากรรมร้ายแรง 11 คดี ได้แก่ การฆาตกรรม การค้ายาเสพติด การก่อกบฏ การลักพาตัว และการก่อการร้าย แต่ถ้าหากมีการบังคับใช้ร่างกฎหมายฉบับนี้ ผู้พิพากษาก็จะมีทางเลือกที่จะตัดสินโทษจำคุกระหว่าง 30 – 40 ปี ภายใต้เงื่อนไขบางอย่าง หรือการเฆี่ยนตีแทนได้
นอกจากจะยกเลิกโทษประหารชีวิตสถานเดียวแล้ว ก็ยังลดจำนวนความผิดที่มีโทษถึงตาย และยกเลิกโทษการจำคุกตลอดชีวิต แต่ให้เป็นการจำคุก 30 ปีแทนเช่นกัน
ซิงห์ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า โทษประหารชีวิตเป็นการลงโทษที่กลับคำตัดสินไม่ได้ ทั้งยังไม่สามารถยับยั้งการก่ออาชญากรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“เราไม่สามารถเพิกเฉยการมีอยู่ของสิทธิโดยธรรมชาติ อย่างสิทธิในการมีชีวิตของแต่ละคนโดยพลการ โทษประหารชีวิตไม่ได้นำมาซึ่งผลลัพธ์ตามที่คาดไว้” ซิงห์กล่าว
อย่างไรก็ตาม มาเลเซียเคยออกคำสั่งให้ระงับโทษประหารชีวิตตั้งแต่ปี 2018 พร้อมทั้งให้สัญญาว่าจะยกเลิกโทษประหารชีวิตอย่างสิ้นเชิง แต่ในตอนนี้ ทางรัฐบาลก็ยังทำได้เพียงยกเลิกโทษประหารชีวิตสถานเดียวเท่านั้น
ส่วนทางด้านนักกิจกรรม ด๊อบบี้ ชิว (Dobby Chew) ผู้ประสานงานบริหารของ เครือข่ายต่อต้านโทษประหารแห่งเอเชีย (Anti-Death Penalty Asia Network) กล่าวว่าการผ่านร่างกฎหมายดังกล่าว นับว่าเป็นก้าวแรกที่ดีในการยกเลิกโทษประหารชีวิตทั้งหมดของมาเลเซีย แม้ว่าจะใช้เวลานานมากก็ตาม
ชิวยังกล่าวอีกว่า “เราไม่ควรปฏิเสธความจริงที่ว่ารัฐกำลังฆ่าใครบางคน” พร้อมกับตั้งคำถามต่อไปว่าแล้วรัฐควรมีอำนาจเช่นนี้หรือไม่
อ้างอิงจาก