ตอนนี้ก็ใกล้เลือกตั้งเข้ามาทุกที นอกจากพรรคการเมือง นโยบาย ว่าที่ ส.ส. และแคนดิเดตนายกฯ ที่เป็นที่พูดถึงกันอย่างกว้างขวางในช่วงเวลานี้แล้ว อีกหนึ่งตัวละครสำคัญที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยในการเลือกตั้งครั้งที่จะถึงนี้ ก็คือ คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.
หลายๆ คนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า กกต. คือหน่วยงานที่เข้ามาดูแลการเลือกตั้ง แต่สงสัยกันไหม ว่าในการเลือกตั้งที่จะถึงนี้ กกต. มีประเด็นอะไรที่เป็นที่พูดถึงกันบ้าง?
ในวันนี้ The MATTER จึงอยากขอชวนทุกคนมาดู ‘ผลงาน’ ที่ผ่านมาของ กกต. ในการเลือกตั้งที่จะถึงนี้กันเลย
1. แบ่งเขตเลือกตั้งใหม่โดยเฉพาะใน กทม.
จากพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 27 (1) กำหนดให้ต้องมีอำเภออยู่ในเขตเลือกตั้งนั้นๆ แต่ก็มีการเกลี่ยประชากร โดยพิจารณาว่าหน่วยการเลือกตั้งใดที่ประกอบด้วยอำเภอใหญ่ มีประชากรอยู่มาก ก็อาจจำเป็นต้องแบ่งบางตำบลไปรวมกับหน่วยการเลือกตั้งที่ใกล้เคียง หรือถ้าหน่วยไหนเป็นอำเภอขนาดเล็ก ก็จะปัดส่วนของตำบลในพื้นที่ใกล้เคียงเข้ามารวมด้วย เช่นเดียวกันกับใน กทม.
แต่ในการแบ่งเขตเลือกตั้ง ปี 2566 ที่กำลังจะถึงนี้ ในพื้นที่ กทม. ก็มีถึง 13 เขตการเลือกตั้งด้วยกัน ที่เกิดจากการรวมตัวของแขวง โดยที่ไม่มีเขตหลักประกอบอยู่ เช่น เขตเลือกตั้งที่ 12 ประกอบด้วย เขตสายไหม (เฉพาะแขวงออเงิน) เขตบางเขน (เฉพาะแขวงท่าแร้ง) เขตลาดพร้าว (เฉพาะแขวงจรเข้บัว)
อย่างไรก็ดี อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ก็เคยเข้าร้องศาลปกครอง ขอให้เพิกถอนประกาศ กกต.เรื่องการแบ่งเขตเลือกตั้งในพื้นที่ กทม. สกลนคร และสุโขทัย แต่ศาลก็พิพากษายกฟ้องไปเมื่อวันที่ 7 เมษายนที่ผ่านมา โดยระบุว่าการแบ่งเขตเป็นไปโดยชอบตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 86 (5) แล้ว
ทั้งนี้ ประเด็นเรื่องการแบ่งเขตเลือกตั้งก็แบ่งออกเป็น 2 ความเห็น โดยความเห็นแรกมองว่า การรวมแขวงข้ามเขตแบบนี้ เป็นการกระทบสิทธิประชาชน ทำให้เกิดความสับสนในการใช้สิทธิเลือกตั้ง เพราะที่ผ่านมาประชาชนก็คุ้นชินกับ ส.ส.เขตคนเดิมแล้ว
ส่วนอีกความเห็นหนึ่ง ก็มองว่าถ้าแบ่งเขตเลือกตั้งแบบเดียวตลอด ก็อาจเป็นการผูกขาดอำนาจในพื้นที่นั้นๆ และยากที่พรรคเล็กจะเติบโตเช่นกัน
2. ก่อนเลือกตั้งไม่กี่สัปดาห์ บินไป ‘ดูงาน’ ที่ต่างประเทศ
หน่วยงานหลักในการจัดการเลือกตั้ง บินไปดูงานก่อนการเลือกตั้งเพียงไม่กี่อาทิตย์เหมาะสมไหม แล้วต้องไปช่วงนี้เท่านั้นเลยเหรอ?
จากประเด็นที่ทางกกต.เดินทางไปดูงานการจัดการเลือกตั้งที่ต่างประเทศ ในช่วงวันที่ 4 – 24 เมษายนที่ผ่านมา กกต. ชี้แจงว่า เป็นไปตามโครงการที่จัดขึ้นทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง เพื่อ “ติดตาม เตรียมพร้อม รับฟังปัญหา…เพื่อนำมาใช้เป็นข้อมูลในการอำนวยความสะดวกแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง หรืออาจนำมาปรับปรุงแก้ไขกฎหมายให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น”
นอกจากนี้ยังไปดูเรื่องการส่งบัตรให้สถานทูตต่างๆ ในการเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร และกระบวนการส่งบัตรเลือกตั้งกลับมายังประเทศไทย
ส่วนการไปดูงานในครั้งนั้น ก็ไปกัน 4 – 5 คน แล้วก็ไม่ได้ไปพร้อมกัน แต่ถ้ามีประเด็นที่จะต้องพูดคุยกัน ก็สามารถประชุมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนสามารถประชุมกันได้เสมอ
3. เว็บลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้าล่ม แต่ไม่ขยายเวลาให้
วันที่ 9 เมษายนที่ผ่านมา เป็นวันลงทะเบียนเลือกตั้งนอกเขตวันสุดท้าย และก่อนหน้านี้ กกต.ออกประกาศว่าการลงทะเบียนในระบบออนไลน์สามารถทำได้ถึงเวลา 24.00 น. จึงทำให้มีประชาชนจำนวนมาก ตั้งใจจะลงทะเบียนให้ทันตามกำหนดนี้
แต่พอช่วง 21.00 น. ประชาชนจะเข้าลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้าที่เว็บไซต์ กลับพบว่าเว็บล่ม แล้วเว็บกลับมาใช้งานได้ปกติอีกครั้งก็ตอนก่อนปิดระบบเพียงประมาณ 10 นาทีเท่านั้น ซึ่งจากเหตุการณ์ครั้งนี้ iLaw ก็คาดการณ์ว่า อาจทำให้ประชาชนอีกหลักแสนคนไม่สามารถไปใช้สิทธิเลือกตั้งได้
รวมไปถึง กกต. ก็ยังมีอำนาจที่ขยายเวลาการลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้า แต่ก็ไม่ทำ เนื่องจาก กกต.กำหนดระยะเวลาเลือกตั้งล่วงหน้าไว้ 25 มีนาคม – 9 เมษายนที่ผ่านมา และกำหนดวันเลือกตั้งล่วงหน้าไว้เป็น 7 พฤษภาคมที่จะถึงนี้
แต่ระเบียบ กกต. ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ข้อ 188 ระบุเกี่ยวกับการกำหนดวันลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้าไว้ว่า “ระยะเวลาการลงทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งก่อนวันเลือกตั้ง โดยวันสุดท้ายของการลงทะเบียนต้องก่อนวันเลือกตั้งไม่น้อยกว่าสามสิบวัน”
ดังนั้น หากนับถอยหลังจากวันเลือกตั้งทั่วไป 14 พฤษภาคม ไป 30 วัน วันสุดท้ายตามกฎหมายที่ กกต. สามารถเปิดให้ลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้าก็คือวันที่ 14 เมษายน เพราะฉะนั้น หาก กกต. จะขยายเวลาการลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้าให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาที่เกิดขึ้น กกต. ก็สามารถทำได้ตามระเบียบที่เปิดช่องไว้
4. บัตรเลือกตั้ง ส.ส.เขตมีแค่หมายเลขผู้สมัคร ไม่มีโลโก้พรรค
แค่ ส.ส.เขต กับ ส.ส.บัญชีรายชื่อมีหมายเลขไม่เหมือนกัน แค่นี้ก็ปวดหัวแล้ว แต่ตอนนี้ประชาชนยังต้องปวดหัวหนักขึ้นอีกเพราะในบัตรเลือกตั้งของ ส.ส.เขต ไม่มีอะไรเลย นอกจากหมายเลข
กกต. ชี้แจงว่า การเลือกตั้งปีนี้ใช้บัตร 2 ใบ คือบัตรเลือก ส.ส.แบบแบ่งเขต มีเฉพาะหมายเลขของผู้สมัคร แต่ไม่มีโลโก้พรรค และไม่มีชื่อพรรค หรือที่เรียกว่า ‘บัตรโหล’ ส่วนบัตรเลือกตั้ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ มีหมายเลขผู้สมัคร มีสัญลักษณ์ของพรรค และชื่อพรรค ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเราต้องท่องเบอร์ ส.ส.เขต ที่จะเลือก เพื่อเข้าไปกาในวันเลือกตั้งให้ถูกคน
หลังจากที่ กกต. ประกาศรูปแบบบัตรเลือกตั้งแล้ว ก็มีเสียงคัดค้านจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องบัตรการเลือกตั้งของ ส.ส.เขต
สุทิน คลังแสง รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ก็ออกมาขอให้ กกต.ทบทวน พิมพ์โลโก้พรรคและชื่อพรรคในบัตรเลือกตั้ง เพื่อป้องกันความสับสนและบัตรเสีย
เช่นเดียวกับ ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ก็กังวลว่าการพิมพ์บัตรเลือก ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง แบบเดียวกันแต่ใช้ได้ถึง 400 เขตทั่วประเทศ อาจทำให้เกิดการทุจริตเลือกตั้งได้ ถ้าพิมพ์บัตรเกิน จะสามารถนำบัตรไปใช้ได้ในทุกเขต อาจทำให้เกิดบัตรเขย่งเหมือนตอนปี 2562
อย่างไรก็ดี ทาง กกต. ก็ออกมาชี้แจงในประเด็นดังกล่าวว่า สาเหตุที่บัตรเลือกตั้ง ส.ส.เขต ไม่มีให้มีโลโก้พรรค เพราะกฎหมายกำหนดให้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ต้องแตกต่างกันอย่างชัดเจน ทั้งสีของบัตร และหมายเลขผู้สมัคร แต่ถ้าอยากทำให้บัตรเลือกตั้ง ส.ส.เขตมีชื่อและโลโก้พรรคด้วยมันก็จะไม่เป็นไปตามกฎหมาย เพราะไม่แตกต่างกันอย่างชัดเจน อาจทำเกิดความสับสนได้
5. ไม่รายงานผลการเลือกตั้งแบบเรียลไทม์
กกต.จะรายงานผลการเลือกตั้ง ‘ทันที’ แต่ ‘ทันที’ ที่ว่าคือ หลังจากปิดหีบการเลือกตั้ง 17.00 น. แล้วนับคะแนนหน้าหน่วยเลือกตั้งเสร็จ เจ้าหน้าที่ก็จะกรอกคะแนนลงแบบฟอร์ม และติดประกาศผลการนับคะแนนไว้ที่หน้าหน่วย จากนั้นกรรมการประจำหน่วย จะส่งคะแนนเข้ามาส่วนกลาง คาดว่าคะแนนแรกจะส่งเข้ามาถึง กกต. และรายงานผลออกมาได้ในเวลา 19.00 น. โดยคาดว่า ไม่เกิน 22.00 น. จะได้เห็นผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ ได้เกือบ 100%
ส่วนสาเหตุที่ประชาชนจะไม่ทราบผลการเลือกตั้งแบบเรียลไทม์ จาก กกต. ก็เป็นเพราะ กกต. ประกาศยกเลิกการใช้แอปพลิเคชั่นการรายงานผลคะแนนเลือกตั้ง (อย่างไม่เป็นทางการ) ไปใช้ระบบ ECT Report ที่ไม่ใช่แบบเรียลไทม์แทน
โดยทาง กกต. ระบุว่า จะไม่รายงานผลผ่านทางแอปพลิเคชั่น เพราะแอปพลิเคชั่นไม่สามารถแก้ไขความถูกต้องได้ หากใส่ผลคะแนนผิดพลาด แต่ยืนยันว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ผลคะแนนจะทราบเร็วขึ้นแน่นอนกว่าเดิม และขอให้ประชาชนติดตามช่องทางจากสื่อมวลชนที่มาเชื่อมต่อระบบเพื่อรายงานผลคะแนน
ทั้งนี้ ทางสื่อมวลชน และองค์กรภาคประชาสังคมหลายๆ แห่งก็มีการร่วมมือกัน เพื่อหาอาสาสมัครคอยจับตาและรายงานผลคะแนนเลือกตั้งทันทีเมื่อปิดหีบเลือกตั้งในเวลา 17.00 น. เพื่อรายงานผลให้ประชาชนได้ทราบกันแบบเรียลไทม์ เหมือนที่เคยนำมาทดสอบการใช้ในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานคร เมื่อเดือนพฤษภาคมปี 2565 มาแล้วเช่นกัน
6. การเลือกตั้งที่ต่างประเทศมีปัญหา เช่น เอกสารผิด
การเลืกตั้งในต่างประเทศที่มีปัญหา ก็ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น เพราะมีกรณีที่ปรากฏเอกสารรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.กทม. เขตเลือกตั้งที่ 11 ที่ออกโดยเอกอัครราชทูต ณ กรุงลอนดอน เกิดความผิดพลาด โดยภาพผู้สมัคร ส.ส.พรรคเพื่อไทย สลับกับพรรคอื่น
ทำให้ ชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองโฆษกพรรคเพื่อไทยออกมากล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า “การกระทำครั้งนี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของความสะเพร่าในการดำเนินงานของ กกต. และทำให้เกิดความกังวลว่า นอกเหนือจากความผิดพลาดของเอกสารฉบับนี้ จะมีเอกสารฉบับอื่นในประเทศใดอีกหรือไม่ที่มีการนำเสนอข้อมูลที่คลาดเคลื่อน จนอาจเกิดความเสียหายต่อการลงคะแนนและบิดเบือนเจตนารมณ์ของประชาชนอีก”
ข้อมูลที่ผิดพลาดยังไม่ได้หมดเพียงเท่านั้น เพราะยังมีรายงานอีกว่า ณัฐวุฒิ กองจันทร์ดี ผู้สมัคร ส.ส.เขต จังหวัดหนองบัวลำภู พรรคไทยสร้างไทย เปิดเผยว่า มีผู้ลงทะเบียนใช้สิทธิเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร ส่งภาพถ่ายเอกสารว่า กกต. ใส่ข้อมูลชื่อพรรคผิดพลาด จากพรรค ‘ไทยสร้างไทย’ เป็น ‘ไทยสร้างชาติ’ อีกด้วย
ต่อมาก็เป็นเรื่องที่ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรในบางประเทศ ได้รับบัตรเลือกตั้ง 2 ชุด ซึ่งต่อมา ทาง กกต. ก็ออกมาชี้แจงว่า อาจเป็นเพราะในบ้านที่อยู่นั้น มีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 2 คน ที่มีสิทธิเลือกตั้งอยู่คนละจังหวัดและคนละเขตเลือกตั้ง ได้แจ้งที่อยู่ในการส่งบัตรเลือกตั้งเป็นบ้านเลขที่เดียวกัน และในการจัดส่งบัตรเลือกตั้งไป เจ้าหน้าที่สถานทูตจะจัดส่งตามที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งแจ้งไว้เท่านั้น
7. มีรายชื่อแปลกปลอมเพิ่มเข้ามาอยู่ในทะเบียนบ้าน
จู่ๆ ก็มีชื่อใครก็ไม่รู้โผล่เข้ามาในทะเบียนบ้าน? เหตุการณ์นี้ เป็นเรื่องราวของ ศิริรัตน์ พิมพ์สุภาพ เจ้าของบ้านในเขตจอมทอง กทม. ที่ตรวจสอบรายชื่อผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งแล้วพบว่า มีชื่อของผู้ไม่ได้มีสิทธิเลือกตั้ง คือ นายบังเกิด – นางบังอร ปรากฏอยู่ในรายชื่อทะเบียนบ้าน ซึ่งเป็นชื่อเดิมที่เคยปรากฎ เมื่อช่วงการเลือกตั้ง ในปี 2554 และ การเลือกตั้งผู้ว่าฯ ครั้งที่ผ่านมา
โดยศิริรัตน์เคยทำเรื่องแจ้งไปเขตจอมทองหลายครั้ง แต่ไม่ได้รับการแก้ไข ทำให้เธอกังวลว่า อาจเป็นชื่อแปลกปลอมที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตการเลือกตั้ง
อย่างไรก็ดี ณัฐพงษ์ มีโภคกิจ ผู้อำนวยการเขตจอมทอง ออกมาชี้แจงกรณีดังกล่าวว่า เจ้าของบ้านยังไม่เคยร้องเรียน เพราะถ้าหากเจ้าของบ้านยื่นเรื่องมาแล้ว ทางทะเบียนราษฎร์ จะรับเรื่องไว้ และ จะเปลี่ยนบ้านเลขที่ให้ด้วย เนื่องจาก บ้านเลขที่ของศิริรัตน์ไปซ้ำกับอีกบ้านเลขที่หนึ่ง ซึ่งอยู่คนละพื้นที่ เป็นบ้านที่ นายบังเกิด – นางบังอร อาศัยอยู่ แต่บ้านที่นายบังเกิด- นางบังอร อาศัยอยู่
แต่ทางสำนักข่าว PPTV รายงานว่า ตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นบ้านร้าง และ ไม่พบความเคลื่อนไหวของ นายบังเกิด – นางบังอร มานานแล้ว
8. โลโก้พรรคซีด-ติดเอกสารผู้สมัครบนบอร์ดทับกัน
จรยุทธ จตุรพรประสิทธิ์ ผู้สมัคร ส.ส.กทม. จากพรรคก้าวไกล ไปสำรวจหน่วยเลือกตั้งในเขตบางคอแหลม พบว่า โลโก้พรรคก้าวไกล บนหนังสือรายชื่อพรรคการเมืองที่ติดบนบอร์ดหน้าคูหา ซีดจางจนแทบมองไม่เห็นโลโก้พรรค ขณะที่โลโก้พรรคอื่นมีความคมชัดเป็นปกติ จึงตั้งข้อสังเกตว่าเป็นความจงใจหรือไม่
และไม่ใช่แค่โลโก้พรรคซีดเท่านั้น เพราะล่าสุดยังมีผู้ใช้งานทวิตเตอร์ระบุอีกว่า เอกสารแนะนำตัวผู้สมัครบนบอร์ด ทับกัน โดยพรรคอื่นๆ เป็นกระดาษที่ติดอยู่แผ่นเดียว แล้วไล่มาจนเป็นของพรรคก้าวไกลที่ถูกเอกสารของพรรคอื่นทับอยู่ข้างบน ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นเพียงที่เดียวเท่านั้น
จากกรณีที่ กกต. ติดภาพผู้สมัครซ้อนกัน วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกลก็ได้ออกมาเรียกร้องให้ กกต. รีบตรวจสอบทุกบอร์ด และเร่งแก้ไขให้ทันก่อน 14 พฤษภาคม “มิฉะนั้น กกต. อาจเข้าข่ายการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบได้นะครับ”
อ้างอิงจาก