เชื่อว่าหลายๆ คนอาจได้เห็นข่าวสถานสงเคราะห์ทารุณเด็กกว่า 280 คนด้วยวิธีการต่างๆ กันมาบ้าง ซึ่งเหตุการณ์เช่นว่าก็ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงครั้งนี้เป็นครั้งแรก
แต่ก่อนจะไปไกลกว่านี้ เราขอย้อนเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุดกันก่อน
เมื่อวานนี้ (28 พฤษภาคม) มีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Thanya Wannasathit ต่อมาทราบว่าชื่อธัญญารัตน์ ออกมาโพสต์รูปภาพเด็กหญิงนั่งอยู่บนชักโครกและมีเชือกมัดอยู่ตามบริเวณอวัยวะต่างๆ ทั้งยังมีภาพที่เด็ก 3 คนนอนเรียงกันอยู่ใต้อ่างล้างมือในห้องน้ำ พร้อมระบุว่า “…เด็กกว่า 280 ชีวิตต้องเผชิญกับความโหดร้ายจากสังคมภายนอกมาแล้ว ยังต้องมาเจอความโหดร้ายจากผู้ดูแล ทำไมมาตรการการทำผิดต้องมีห้องมืด…”
ธัญญารัตน์ยังแชร์คลิปเสียงจาก TikTok ระบุข้อความว่า “คำพูดจากปากเด็กๆ หดหู่นะ เจอเรื่องครอบครัวมาเพื่อหาเซฟโซนเล็กๆ ให้ตัวเอง แต่กลับมาโดนแบบนี้” และอีกข้อความที่ระบุถึงวิธีการทารุณกรรมในสถานสงเคราะห์หลากหลายรูปแบบ
ต่อมา ก็มีผู้สื่อข่าวติดต่อไปขอธัญญารัตน์สัมภาษณ์ถึงประเด็นดังกล่าว ซึ่งเธอระบุว่า ทราบข้อมูลจาก เปิ้ล (นามสมมติ) น้องสาวที่รู้จักซึ่งทำงานเป็นพยาบาลอยู่ในสถานสงเคราะห์เด็กหญิงแห่งหนึ่งในสระบุรี พร้อมกับให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ภายในสถานสงเคราะห์ที่อ้างถึง มีการทารุณกรรมเด็ก และลงโทษเด็กด้วยบทลงโทษที่ไม่ควร เธอจึงอยากให้สังคมรับรู้เรื่องดังกล่าว จับกุมผู้กระทำความผิดและเร่งช่วยเหลือเด็ก
เปิ้ล (นามสมมุติ) ซึ่งเป็นพยาบาลวิชาชีพ และนักจิตวิทยา เล่าว่า เหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 30 เมษายนที่ผ่านมา โดยเธอสังเกตเห็นความผิดปกติของเด็กที่นี่ ดูไม่ค่อยร่าเริง เวลาที่เราคุยด้วยจะไม่กล้าสบตา สอบถามอะไรก็จะถามคำตอบคำ มีหวาดกลัวพี่เลี้ยงซึ่งเด็กๆ จะเรียกว่าแม่
จนกระทั่งวันหนึ่ง มีเด็กเข้ามาทำแผลที่ห้องพยาบาล เปิ้ลสังเกตเห็นบาดแผลบริเวณขา จึงถามเด็กว่าโดนอะไรมา เด็กตอบว่า “โดนแม่ตี” เคยรายงานผู้ใหญ่ให้ทราบ แต่พี่เลี้ยงก็อ้างว่าเด็กดื้อ จำเป็นต้องตี
หลังจากนั้น เมื่อเปิ้ลเริ่มคลุกคลีกับเด็กๆ มากขึ้น เด็กๆ ก็เล่าให้เธอฟังว่ามีพี่เลี้ยงหลายคนที่ทารุณพวกเขาผ่านการลงโทษด้วยวิธีการที่หลากหลาย เช่นโดนเตะจนตกบันได ถูกขังให้ห้องมืด เอาเด็กไปแช่ในท่อน้ำทิ้งซึ่งมีคำเรียกว่า ‘โดนลงหลุม’ เป็นต้น
อีกทั้ง เปิ้ลยังอ้างอีกว่า หลังจากที่ทราบเรื่องจากเด็กๆ และเห็นภาพการทารุณกรรม จึงรายงานให้ทางผู้ใหญ่ทราบ แต่ก็ไม่มีความคืบหน้า เพราะพี่เลี้ยงเด็กที่ก่อเหตุ ก็เป็นหนึ่งในคณะกรรมการด้วย มีการสร้างพยานเท็จขึ้นมา โดยโยนว่าเหตุการณ์ทั้งหมด เด็กกระทำต่อเด็กเองไม่เกี่ยวข้องกับพี่เลี้ยง
สุดท้าย เปิ้ลยังระบุต่อว่า เธอรับไม่ได้กับพฤติกรรมดังกล่าว เพราะเด็กแต่ละคนที่เข้ามาอยู่ในสถานสงเคราะห์แห่งนี้ ส่วนมากมาจากครอบครัวที่ไม่สามารถดูแลได้ เด็กบางคนโดนทารุณกรรมทั้งร่างกายและจิตใจมาก่อน แต่เมื่อเข้ามาอยู่ในสถานสงเคราะห์ ซึ่งควรจะเป็นสถานที่ปลอดภัย แต่กลับมาทำร้ายกับเด็กแบบนี้ ‘เหมือนเด็กอยู่ในคุก’
เรื่องราวดังกล่าวที่เกิดขึ้นนี้ ก็ยังเป็นเครื่องสะท้อนถึงปัญหาของสถานสงเคราะห์หลายๆ แห่งประเทศไทย
โดยเมื่อวันที่ 20 เมษายนที่ผ่านมา ยูนิเซฟพบว่า ในปัจจุบันยังมีเด็กประมาณ 39,000-77,000 คน ที่อาศัยอยู่ในสถานสงเคราะห์เด็กเอกชน ซึ่งสถานสงเคราะห์ส่วนใหญ่เหล่านั้นก็ไม่มีใบอนุญาตจัดตั้งสถานสงเคราะห์ตามกฎหมาย
จากประเด็นดังกล่าวก็ทำให้ คิมคยองซอน ผู้อำนวยการองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย ออกมาแสดงข้อกังวลถึงจำนวนเด็กที่ต้องอาศัยอยู่ในสถานรองรับเหล่านี้ที่มีสูงจนน่าตกใจ เพราะนั่นอาจส่งผลกระทบต่อเชิงลบต่อพัฒนาการทางร่างกาย สมอง และอารมณ์ของเด็กในระยะยาว เนื่องจากเด็กๆ ไม่สามารถสร้างความผูกพันธ์ที่มั่นคง หรือพัฒนาทักษะทางสังคม หรือได้รับการดูแลเอาใจใส่ทั้งทางสุขภาพกายและจิตใจ อย่างที่พวกเขาจะได้รับในสภาพแวดล้อมแบบครอบครัวได้
อีกสิ่งน่ากังวลที่ยูนิเซฟกล่าวถึง ก็คือการขาดระบบกำกับดูแลตรวจสอบสถานรองรับเหล่านี้ เพราะบุคคลลภายนอกไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าเด็กๆ มีความเป็นอยู่อย่างไร ได้รับการดูแลอย่างไร หรือมีความเสี่ยงที่จะถูกทำร้าย ถูกละเลย หรือทอดทิ้งหรือไม่อีกด้วย
ยูนิเซฟระบุว่า ‘ในกรณีที่เด็กไม่สามารถอยู่กับครอบครัวได้ สถานรองรับหรือสถานสงเคราะห์ควรเป็นทางเลือกสุดท้าย และควรอาศัยอยู่ในระยะเวลาที่สั้นที่สุดเท่าที่เป็นไปได้’ นั่นก็เป็นเพราะ เด็กที่เติบโตในสถานที่เหล่านี้ มีความเสี่ยงที่จะเผชิญปัญหาต่างๆ เมื่อโตขึ้น ทั้ง ปัญหาด้านสุขภาพจิต การเรียน หรือปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นได้เช่นกัน
ส่วนเรื่องทางแก้ในระยะยาวของปัญหานี้ ยูนิเซฟมองว่า เด็กทุกคนควรเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและเต็มไปด้วยความรักและการดูแลเอาใจ โดยไม่มีความจำเป็นต้องมีสถานรองรับเหล่านี้ พร้อมกับส่งเสริมให้เด็กได้อาศัยอยู่กับญาติหรือครอบครัวอุปถัมภ์ในกรณีที่พ่อแม่ของเด็กไม่สามารถเลี้ยงดูเองได้
อย่างไรก็ดี ปัญหาการทารุณกรรมเด็กในสถานสงเคราะห์ ก็ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นครั้งนี้เป็นครั้งแรก เพราะถ้าหากใครยังจำได้ เมื่อช่วงปีที่แล้วก็เคยมีเหตุการณ์คล้ายๆ กันเกิดขึ้น และก็เคยมีการพูดถึงปัญหาดังกล่าวเอาไว้แล้วเช่นกัน
กิติพัฒน์ นนทปัทมะดุล อดีตอาจารย์คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เสนอวิธีการแก้ไขปัญหาเรื่องการละเมิดสิทธิเด็กในสถานสงเคราะห์ไว้ว่า มี 3 ส่วนที่ต้องแก้ไข คือ
1. สังคมไทยยังใช้อำนาจนิยมกับเด็ก มีความคิด ความเชื่อที่มองว่าสามารถตีเด็กได้ ดังนั้นทุกฝ่ายจึงต้องช่วยกันแก้ไขแนวคิดอำนาจนิยม เปลี่ยนเป็นการปฏิบัติต่อเด็กอย่างละเอียดอ่อน สร้างวินัยให้เด็กด้วยอำนาจของความรัก ความเข้าใจ ความห่วงใย และความเคารพสิทธิ
2. สังคม หน่วยงานรัฐ เอกชน ต้องทำงานร่วมกันทำงาน เป็นภาคีหุ้นส่วนทางสังคม (Social partnership) ตรวจสอบกันและกัน ซึ่งแนวทางนี้ก็เป็นแนวทางที่ใช้กันทั่วโลก
3. ต้องจัดให้มีนักสังคมสงเคราะห์โรงเรียน (School Social Work) เพิ่มมากขึ้นเพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพจิตของเด็ก เฝ้าระวังปัญหาความรุนแรงในครอบครัว และทำงานในมิติต่างๆ กับเด็ก และ พม.ต้องเน้นมาตรการส่งเสริม สนับสนุน หากมีหน่วยงานภาครัฐหรือภาคเอกชนปฏิบัติไม่ถูกต้อง ต้องแก้ไขไปตามกระบวนการโดยเน้นประโยชน์สูงสุดที่เด็กเป็นสำคัญ
ส่วนการแก้ไขปัญหาระยะกลาง และระยะยาวต้องส่งเสริม สนับสนุนองค์ความรู้ งบประมาณ ทักษะให้กับหน่วยงานที่ดูแลเด็ก รวมถึงประสานภาคีหุ้นส่วนทางสังคมให้เข้ามาทำงานร่วมกัน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยก็ได้ประกาศใช้แผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยการเลี้ยงดูทดแทนสำหรับเด็ก (พ.ศ.2565-2569) ซึ่งรัฐบาลไทยได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะสนับสนุนครอบครัวให้เข้มแข็งขึ้น ตลอดจนส่งเสริมการเลี้ยงดูในรูปแบบครอบครัวและปรับปรุงมาตรฐานการดูแลเด็ก ควบคู่ไปกับลดการพึ่งพิงการดูแลในรูปแบบสถานสงเคราะห์แล้วเช่นกัน
อ้างอิงจาก