ประเด็นดังกล่าวเป็นที่พูดถึงมากขึ้น นับตั้งแต่ญี่ปุ่นตัดสินใจปล่อยน้ำที่ปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะเมื่อวันที่ 24 สิงหาคมที่ผ่านมา ท่ามกลางเสียงต่อต้านจากทั้งคนในประเทศ ทางการจีน เกาหลี และอีกมากมายว่าการกระทำดังกล่าวอาจจะนำไปสู่หายนะครั้งใหญ่ที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์และสิ่งมีชีวิตในมหาสมุทรแปซิฟิก
แต่รัฐบาลญี่ปุ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างยืนยันว่าปลอดภัย ทว่าผู้คนก็ยังกังวลอยู่ดีจนเกิดกระแสการแบนอาหารทะเลญี่ปุ่นเพื่อความปลอดภัยและเป็นการตอบโต้ต่อการกระทำของญี่ปุ่นที่ดูเหมือนไม่ยอมรับฟังเสียงรอบข้าง ดังนั้น The MATTER จึงจะสรุปเหตุการณ์นี้ให้ทุกคนได้อ่านกัน
1. เริ่มต้นที่เกิดอะไรขึ้นกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ฟุกุชิมะ โดยเราขอเล่าย้อนไปเมื่อช่วงบ่ายในวันที่ 11 มีนาคม 2011 เวลา 14.46 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) เกิดแผ่นดินไหวขนาด 9.0 ทางตะวันออกของเมืองเซนไดขึ้น ซึ่งอยู่ห่างจากโรงไฟฟ้าฯ เพียง 97 กิโลเมตร
ทำให้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิจิ (Fukushima Daiichi Nuclear Power Plant) ที่ตั้งอยู่ในเมืองโอคุมะ จังหวัดฟุกุชิมะก็เกิดแผ่นดินไหวเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เครื่องปั่นไฟฉุกเฉินได้ทำงานแทนเพื่อสูบสารหล่อเย็นไปยังรอบๆ แกนปฏิกรณ์นิวเคลียร์ หลังเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ทุกเครื่องหยุดทำงานโดยอัตโนมัติทันที หลังระบบควบคุมต่างๆ ตรวจพบว่ามีการเกิดแผ่นดินไหว
2. แต่ไม่นานหลังจากนั้น คลื่นยักษ์สูงกว่า 14 เมตร ได้ซัดถล่มแนวป้องกันและเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ จนน้ำทะเลทะลักเข้าท่วมโรงงานไฟฟ้าส่งผลให้เครื่องปั่นไฟฉุกเฉินหยุดทำงาน ซึ่งถือเป็นหายนะครั้งใหญ่ เพราะมันจะนำไปสู่การรั่วไหลของสารกัมมันตรังสี
ทว่าคนงานก็พยายามที่จะกู้ระบบไฟฟ้า แต่ผ่านไปไม่นานอุณหภูมิของเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ทั้ง 3 เตาเพิ่มสูงขึ้นแบบพุ่งพรวด จนแกนปฏิกรณ์นิวเคลียร์บางส่วนหลอมละลายหรือเรียกว่าปรากฏการณ์นี้ว่า ‘การหลอมละลายนิวเคลียร์ (nuclear meltdown) ไม่เพียงเท่านี้ ยังเกิดการระเบิดของสารเคมีอีกหลายครั้ง ซึ่งทำให้สารกัมมันตรังสีรั่วไหลออกสู่ชั้นบรรยากาศและมหาสมุทรแปซิฟิก
3. โดยรวมแล้วแผ่นดินไหว สึนามิ และอุบัติเหตุทางนิวเคลียร์ครั้งนี้ มีผู้ต้องละทิ้งบ้านของตัวเองเกือบ 500,000 คน และมีผู้เสียชีวิตอีกหลายหมื่นคน โดยประชาชนส่วนใหญ่วิจารณ์การทำงานของทางการว่าขาดการเตรียมพร้อม เฉกเช่นเดียวกับที่คณะกรรมการสอบสวนอิสระระบุสิ่งที่เกิดขึ้นที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ว่าเป็น “ภัยพิบัติที่เกิดจากฝีมือมนุษย์อย่างแท้จริง”
4. โดยบทสรุปของเรื่องนี้กินเวลาค่อนข้างนาน แต่ในท้ายที่สุดพนักงานที่เกี่ยวข้องก็สามารถหาทางแก้ปัญหาดังกล่าวได้ด้วยการสูบน้ำเข้าไปเพื่อหล่อเย็นเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ที่เกิดการหลอมละลาย และกลายมาเป็นน้ำที่ปนเปื้อนที่ถูกบรรจุอยู่ในแทงก์น้ำขนาดมหึมาจำนวนมากกว่า 1,000 ถังที่ขณะนี้ล้วนมีน้ำอยู่เต็มเอียด
ทางการญี่ปุ่นระบุว่า “เราจำเป็นต้องทยอยปล่อยน้ำเหล่านี้ลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิกตลอด 30 ปีนับจากนี้” เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมารัฐบาลพยายามเคลียร์พื้นที่ให้มากที่สุดเพื่อให้ผู้คนกลับเข้ามาอาศัยอยู่ได้ ซึ่งเชื่อว่าพอมาถึงจุดนี้หลายๆ คนคงสงสัยว่าการกระทำในลักษณะนี้ทำได้หรือไม่?
โดยคำตอบก็คือทำได้ เพราะตามปกติแล้ว การปล่อยน้ำที่ผ่านการบำบัดรังสีแล้วสามารถปล่อยลงสู่มหาสมุทรได้ แต่กรณีนี้ต่างออกไปเนื่องจากน้ำนี้ปนเปื้อนรังสีที่เกิดจากวิกฤตโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เป็นอันตราย
5. แต่บริษัทเทปโกผู้ทำการปล่อยน้ำดังกล่าวออกมาระบุวิธีในการกรองน้ำปนเปื้อนว่า พวกเขาได้ใช้ระบบปั๊มและการกรองน้ำขั้นสูงที่เรียกว่า เอแอลพีเอส (ALPS) ที่สามารถบำบัดน้ำให้มีระดับกัมมันตรังสีต่ำลงจนมีมาตรฐานที่ปลอดภัย “น้ำที่ญี่ปุ่นปล่อยมีทริเทียมและคาร์บอน-14 อยู่ในระดับที่ปลอดภัยตามมาตรฐานของ WHO ขนาดที่ว่าสามารถนำมาดื่มได้” จิม สมิธ (Jim Smith) ศาสตราจารย์ด้านสิ่งแวดล้อมกล่าว
6. หลังการบำบัดด้วยวิธีนี้ ขั้นตอนต่อไปคือ นำน้ำไปเจือจางด้วยน้ำทะเลอีกที ก่อนที่ปล่อยลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิก “มันเปรียบเสมือนหยดน้ำที่ปล่อยสู่มหาสมุทร ทั้งในเชิงปริมาณและระดับกัมมันตภาพรังสี” เจอร์รี่ โทมัส (Jerry Thomas) นักพยาธิวิทยาทางอณูชีวโมเลกุลยืนยันถึงความปลอดภัย “มหาสมุทรจะช่วยเจือจางน้ำที่มีการปนเปื้อน และไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพมนุษย์และสัตว์” นักวิทยาศาสตร์ที่เห็นด้วยกล่าว
7. ตรงกันข้ามกับผู้เชี่ยวชาญทางด้านสิทธิมนุษยชนจากองค์การสหประชาชาติ (UN) และนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม เช่น กรีนพีซ (Green Peace) ที่ต่างออกมาต่อต้านแผนการนี้โดยกล่าวว่า “รัฐบาลญี่ปุ่นควรจะกักเก็บน้ำปนเปื้อนไว้ในแทงก์น้ำไปก่อน จนกว่าจะมีเทคโนโลยีการบำบัดน้ำปนเปื้อนกัมมันตรังสีที่มีประสิทธิภาพจริงๆ เกิดขึ้นก่อน..”
ไม่เพียงเท่านี้ นักวิทยาศาสตร์บางคนยังระบุว่า “ญี่ปุ่นควรศึกษาผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นในมหาสมุทรและสิ่งมีชีวิตทางทะเลให้มากกว่านี้ ..เพราะถ้ามันมีผลกระทบจริงๆ เราจะไม่มีทางจะย้อนกลับมาแก้ไขได้แล้ว” นอกจากนี้ กลุ่มสิ่งแวดล้อมกรีนพีซก็เสริมว่า “น้ำปนเปื้อนกัมมันตรังสีอาจสร้างความเสียหายถึงขั้นทำลายดีเอ็นเอมนุษย์
8. อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 24 สิงหาคมที่ผ่านมา เป็นวันแรกที่ญี่ปุ่นเริ่มทยอยปล่อยน้ำลงมหาสมุทร ซึ่งทำให้จีน เกาหลี หรือแม้แต่คนญี่ปุ่นเองต่างออกมาประท้วงเพื่อต่อต้านการกระทำดังกล่าว เพราะกลัวว่ามันจะสร้างผลกระทบต่อมนุษย์และสิ่งมีชีวิตในมหาสมุทร โดยพวกเขาให้เหตุผลที่คล้ายๆ กันว่า “แม้ว่ารัฐบาลญี่ปุ่นจะยืนยันว่าน้ำดังกล่าวปลอดภัย แต่การกระทำเช่นนี้ถือเกิดขึ้นครั้งแรกในโลก และญี่ปุ่นจะมั่นใจได้อย่างไรว่าจะไม่เกิดอะไรขึ้น”
รัฐบาลจีนจึงประกาศสั่งห้ามนำเข้าอาหารญี่ปุ่นทั้งหมดทันทีเพื่อปกป้องผู้บริโภคในประเทศ และยังเป็นการตอบโต้ญี่ปุ่นที่ไม่ยอมรับฟังเสียงเรียกร้อง “เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ..กรมศุลกากรจึงตัดสินใจระงับการนำเข้าผลิตภัณฑ์ทางทะเลที่มาจากญี่ปุ่นทั้งหมดนับจากนี้เป็นต้นไป” กรมศุลกากรจีนระบุ
9. แม้ว่าทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) หน่วยงานในสังกัดองค์การสหประชาชาติจะอนุมัติแผนดังกล่าว แต่ก็ไม่สามารถหยุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากผู้คนได้ เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมประมงและอาหารทะเลในญี่ปุ่น รวมถึงประเทศอื่นๆ ต่างแสดงความกังวลเพราะกลัวว่าผู้บริโภคจะแบนอาหารทะเลจากญี่ปุ่น
“ญี่ปุ่นใช้มหาสมุทรที่เป็นทรัพยากรส่วนรวมเหมือน ‘บ่อน้ำทิ้งส่วนตัว’ และหน่วยงานไอเออีเอก็เลือกข้าง” ทางการจีนกล่าว ขณะที่รัฐบาลเกาหลีสนับสนุนแผนการนี้ แต่ประชาชนกลับไม่คิดเช่นนั้น
10. โดยก่อนหน้านี้ จีนและฮ่องกงจำกัดการนำเข้าอาหารทะเลจาก 10 จังหวัดของญี่ปุ่น เช่น ฟุกุชิมะ โตเกียว ตั้งแต่กรกฎาคม 2023 ส่วนเกาหลีใต้สั่งห้ามนำเข้าอาหารทะเลจากฟุกุชิมะตั้งแต่ปี 2013 แล้ว โดยประเทศที่กล่าวข้างต้นล้วนเป็นผู้นำเข้าอาหารญี่ปุ่นรายใหญ่ โดยเฉพาะจีนและฮ่องกงที่นำเข้าอาหารทะเลที่มีมูลค่ามากถึง 38,900 ล้านบาทเมื่อปีที่แล้ว
11. ส่วนประเทศไทย เลิศชาย เลิศวุฒิ รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า “ขอให้ผู้บริโภคอย่าวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่ปลอดภัย เพราะการนำเข้าอาหารทะเลต้องผ่านทั้งกรมประมงและอย. ที่จะตรวจสอบอย่างเข้มงวดร่วมกับสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ และสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ..หากพบว่าปนเปื้อนจริงจะระงับการนำเข้าทันที” นอกจากนี้ ไทยถือเป็นประเทศแรกๆ ที่งดการนำเข้าอาหารทะเลจากจังหวัดฟุกุชิมะตั้งแต่ปี 2018
ดังนั้น ขณะนี้เราต้องจับตามองต่อไปว่าการปล่อยน้ำปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีจะสร้างผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในมหาสมุทรแปซิฟิกหรือไม่ รวมถึงท่าทีของญี่ปุ่นหลังจากหลายๆ ประเทศเริ่มแบนหรือออกมาตรการการตรวจสอบที่เข้มงวดมากขึ้น
อ้างอิงจาก