“แม่วันนี้ผัดพริกถั่วอีกไหมแม่”
“โอ้ย เมื่อวานกินไปแล้วนะลูก ยังไม่เบื่อเหรอ”
“ไม่เบื่อครับ ผมชอบผัดพริกถั่วกับหมู กินได้ทุกวันครับ”
อาหารที่ดูจะไม่พิเศษสำหรับใคร แต่กลับอัดแน่นไปด้วยเรื่องเล่าและความทรงจำ เมื่อเมนูนั้นเป็นอาหารจานโปรดของผู้เป็นบุตรชายที่ยังไม่อาจทราบชะตากรรม อย่างที่เกิดขึ้นกับครอบครัว สยาม ธีรวุฒิ หนึ่งในผู้ถูกบังคับให้สูญหาย
ข้อมูลของขณะทำงานด้านการบังคับสูญหายโดยไม่สมัครใจของสหประชาชาติ ระบุถึงจำนวนผู้ถูกบังคับสูญหายที่อยู่ระหว่างการพิจารณาเชิงรุกและยังไม่ได้รับการชี้แจงหรือยุติอยู่มีมากถึง 46,751 กรณี จาก 97 ประเทศ และมีเพียง 104 กรณีที่สามารถคลี่คลายได้
‘ผู้ถูกบังคับสูญหาย 76 กรณี สูงเป็นอันดับที่ 3 ของอาเซียน รองจากฟิลิปปินส์และมาเลเซีย’ นับเป็นตัวเลขของประเทศไทยที่คณะทำงานฯ รวบรวมไว้ได้
นั่นอาจอนุมานได้ถึงจำนวนครอบครัวที่ยังเฝ้ารอการกลับมากินข้าวร่วมกัน ซึ่งนิทรรศการ ‘กลับสู่วันวาน…กลับมากินข้าวด้วยกันนะ’ ได้จำลองอาหารจานโปรดของผู้ถูกบังคับสูญหายจากการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน ภาวะสงคราม การปราบปรามจากรัฐไทย เพื่อระลึกถึงเหยื่อบางส่วนเอาไว้ และร่วมขับเคลื่อนข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ณ คินใจ คอนเทม โพรารี (Kinjai Contemporary)
‘เขาทำเหมือนลูกเราไม่หายจริง’
“สวัสดีค่าแม่เป็นแม่ของสยาม ธีรวุฒิ แม่ของผู้สูญหาย และแม่ที่สูญเสียลูกชาย” คำทักทายเพียงหนึ่งประโยคของกัญญา ธีรวุฒิ แทบจะเป็นบทสรุปของอารมณ์รวมทั้งหมดของวงเสวนา ‘เมื่อแตกสลาย จะกลับสู่สภาพเดิมได้หรือ’ เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม
หากใครติดตามประเด็นการเมือง น่าจะคุ้นชื่อสยาม ธีรวุฒิ นักกิจกรรมคนหนึ่งที่เคลื่อนไหวเรื่องแรงงาน ร่วมกับกลุ่มประกายไฟ จนเป็นที่พูดถึงเมื่อร่วมเล่นละครเวทีเรื่อง ‘ลูกสาวหมาป่า’ ในงานระลึกเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ ปี 2556 จนส่งผลให้ต้องโทษตามคดี ม.112 จนต้องลี้ภัยทางการเมือง ก่อนจะถูกจับกุมที่เวียดนามแล้วส่งตัวกลับไทยในปี 2562 แต่กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการสูญหายจนถึงปัจจุบัน
กว่า 9 ปีแล้วที่กัญญายังคงรอข่าวคราวของลูกชาย นับตั้งแต่วันที่ตำรวจไม่รับแจ้งความในช่วงต้น “ไม่ช่วยไม่ว่าอะไร แต่มาคอยสอดส่องว่า ’สยามอยู่บ้านไม่ครับ’ เหมือนจะบอกว่าลูกแม่ไม่หายจริง คุณรู้ไหมว่าเราเสียใจ”
ทั้งนี้ในวันที่รัฐบาลใหม่กำลังจะจัดตั้งได้สำเร็จ เธอจึงคาดหวังความชัดเจนกว่าที่ผ่านมา “ใครหาเจอแทนแม่ก็กรุณาเถอะ กราบขอร้องเอามาคืนแม่ที ครั้งนี้แม่ไม่ร้องไห้แล้ว จะเข้มแข็งที่สุดรอคอยสยามกลับมา”
ชีวิตที่ไม่มีวันเหมือนเดิม
ทั้งในบทบาทภรรยา แม่ และสมาชิกคณะทำงานด้านการสูญหายโดยไม่สมัครใจของสหประชาชาติ ถึงทำให้คำพูดที่ว่า “คนที่ถูกอุ้มหายมักถูกทำให้เป็นคนไม่ดี เมื่อไม่ใช่คนดีทำไมต้องสนใจ” ของอังคณา นีละไพจิตร ไม่มีใครโต้แย้งได้
ด้วยที่ผ่านมาต้องใช้ชีวิตภายใต้คำตราหน้าว่าเป็นครอบครัวทนายโจร นับตั้งแต่ทนายสมชาย นีละไพจิตร ผู้เป็นพ่อของบุตร 5 คน ได้ถูกทำร้ายและลักพาตัวไปในปี 2547 โดยที่ผ่านมาเขาเป็นที่รู้จักในฐานะนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน
การถูกบังคับสูญหายครั้งนั้น นับเป็นคดีแรกที่ต่อสู้ในชั้นศาล แม้ท้ายสุดศาลฎีกาจะพิพากษายกฟ้อง ด้วยเหตุผลว่าไม่พบหลักฐานเชื่อมโยงจำเลยก็ตาม แต่นั่นได้เปลี่ยนชีวิตของสมาชิกในครอบครัวนีละไพจิตรจนไม่เหลือเค้าเดิมแล้ว
“ตอนที่ทนายสมชายหายเราไม่มีตัวอย่างเลยว่าต้องทำยังไง เราต้องมานั่งดูประสบการณ์ในต่างประเทศว่าญาติทำอะไรได้บ้าง…ชีวิตที่อยู่กับการคุกคามบอกเลยว่าทรมาน ทุกวันนี้เราก็ยังไม่ได้รู้สึกปลอดภัยในชีวิต”
หลังประคับประคองครอบครัวได้ระดับหนึ่ง อังคณา จึงใช้ประสบการณ์ทั้งหมดทำงานด้านสิทธิมนุษยชนอย่างเต็มกำลัง เพราะรู้ดีว่ามีเพียงครอบครัวที่จะแบกรับความน่าหวาดกลัวที่ตามมาได้ ท่ามกลางความรู้สึกคล้าย ‘ถูกเยาะเย้ย’ อยู่ตลอดเมื่อเห็นว่าผู้ที่น่าจะเกี่ยวยังไม่เคยต้องรับผิดชอบการกระทำผิด
“ทำเพื่อคนอื่นให้มากขึ้น ก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆ เพื่อให้เราทำงานได้มากขึ้น เป็นสิ่งหนึ่งที่เยียวยาใจ สุดท้ายเราอาจตายไปโดยไม่รู้ความจริงว่าทนายสมชายอยู่ที่ไหน แต่เรายังได้ช่วยคนอื่น”
อังคณา ยังย้ำว่า รัฐต้องยอมรับความจริงว่าการการชดใช้ด้วยเงินอย่างเดียวไม่อาจคืนศักดิ์ศรี และลบเลือนความทรงจำที่โหดร้ายทรมานของเหยื่อได้ การเยียวยาที่ไม่ได้มาตรฐานมีแต่ทำให้เกิดความชะงักงัน การไม่รู้ความจริงทำให้พวกเขาถูกพันธนาการด้วยความเจ็บปวด และไม่สามารถเชื่อมโยงตัวเองกับสังคม
ทั้งหมดนี้จึงเป็นที่มาของข้อเสนอ อย่างการเร่งรัดให้สัตยาบันอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการสูญหายโดยถูกบังคับ (ICPPED) โดยไม่มีข้อสงวนใดๆ เร่งรัดการสืบสวนสอบสวนกรณีการกระทำให้บุคคลสูญหายจนกว่าจะทราบที่อยู่และชะตากรรมของผู้ถูกบังคับให้สูญหาย และรู้ตัวผู้กระทำผิด เป็นต้น
ซึ่งล้วนเป็นสิทธิในการทราบความจริงของครอบครัวเเละญาติ ตามมาตรา 10 ของพระราชบัญญัติป้องกันเเละปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 ทั้งสิ้น
“อาจารย์มักจะทำแกงส้มปลาช่อนนา แกงเลียงผักรวม มีน้ำพริกแมงดา” –อาหารจานโปรดของสุรชัย แซ่ด่าน สุรชัย ตามคบอกเล่าของปราณี ด่านวัฒนานุสรณ์ ภรรยา
“ป่นบักเขือ หรือซุปมะเขือ…” — เมนูโปรดของวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ และทุกคนในครอบครัว
“ฉันอยากให้เธอได้ยินเสียงฉัน กลับมากินข้าวด้วยกันนะ” — คำอ้อนวอนของภรรยา จะหวะ จะโหล ชาวลาหู่ที่ถูกบังคับสูญหายซึ่งหน้าจากเจ้าหน้าที่รัฐ ช่วงมีนโยบายทำสงครามยาเสพติดปี 2546
นี่เป็นเพียงตัวอย่างอาหารจานโปรดของพวกเขา ที่สามารถสะท้อนตัวตน และชวนระลึกถึงเส้นทางชีวิตบางช่วงตอน แต่อย่างที่ว่า ยิ่งเป็นเมนูที่เห็นได้ง่ายมากเท่าไหร่ ความเจ็บปวดจึงปะทะกลางใจได้บ่อยมากเท่านั้น แต่นั่นก็เป็นเพียงไม่กี่สิ่งที่จะช่วยยืนยันถึงการมีอยู่ของคนๆ หนึ่ง ในวันที่ครอบครัวยังเฝ้าคอยรอการกลับมากินข้าวด้วยกันนะ…
สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : amnesty หรือใครสนใจสามารถเยี่ยมชมนิทรรศการได้ถึงวันที่ 30 สิงหาคมนี้ ที่ คินใจ คอนเทม โพรารี (Kinjai Contemporary)