วันนี้ (29 กันยายน) ปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาฯ คนที่ 1 แถลงข่าวหลังพรรคก้าวไกลมีมติให้เขาพ้นจากการเป็นสมาชิกของพรรค เพื่อที่พรรคก้าวไกลจะได้มุ่งหน้าสู่การเป็นผู้นำฝ่ายค้านต่อ
ปดิพัทธ์ระบุว่า ตั้งแต่พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ประกาศลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรค เพื่อให้ก้าวไกลสามารถทำหน้าที่ผู้นำฝ่ายค้าน ด้วยเงื่อนไขนี้ ทำให้ปดิพัทธ์ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่รองประธานสภาฯ ในฐานะสมาชิกพรรคก้าวไกลได้
แม้อีกทางเลือกหนึ่งของปดิพัทธ์คือการลาออกจากตำแหน่งรองประธานสภาฯ แล้วกลับไปเป็น สส. แต่เขาก็มองว่าการลาออกจากตำแหน่งนี้ จะส่งผลกระทบต่อคำมั่นสัญญาที่เคยให้เอาไว้กับประชาชนและสภาผู้แทนราษฎรเมื่อครั้งที่เขาขึ้นดำรงตำแหน่งนี้
ปดิพัทธ์จึงแสดงความจำนง ว่าต้องการทำหน้าที่รองประธานสภาฯ ต่อและไม่สามารถเป็นสมาชิกพรรคก้าวไกลได้อีกต่อไป โดยเขาระบุว่า “ต้องใช้วาระที่เหลือของสภานี้ ขับเคลื่อนนโยบาย เพื่อยกระดับการทำงานของสภาผู้แทนราษฎรให้มีความโปร่งใส มีประสิทธิภาพสูง และเป็นของประชาชนตามที่ผมได้แถลงเอาไว้ตั้งแต่ต้น”
เรื่องสภาที่โปร่งใสนั้น ปดิพัทธ์ระบุว่าจะขับเคลื่อนให้มีการจัดเก็บและเผยแพร่ข้อมูลตามมาตรฐานสากล รวมถึงการเผยแพร่ข้อมูลที่เกี่ยวกับสภาทุกอย่าง เพื่อทำให้ทุกภาคส่วน สามารถนำไปวิเคราะห์ได้ และเป็นรูปแบบของ machine readable (แนวทางการจัดเก็บข้อมูลที่สามารถนำไปใช้ประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ต่อได้) ทั้งหมด เช่น ในสภานะของร่างกฎหมาย ผลการลงมติ รายงานประชุม งบประมาณสภา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ จะต้องทำให้โปร่งใส
ในปีหน้า เมื่อมีความพร้อมในการตรวจรับสภามากขึ้น ปดิพัทธ์ก็จะยกระดับการตรวจจับใบหน้า หรือ ‘face detection’ เพื่อป้องกันปัญหาการเสียบบัตรแทนกัน
ส่วนของสภาประสิทธิภาพสูง ปดิพัทธ์กล่าวว่า จะขับเคลื่อนให้สภานำเทคโนโลยีทันสมัยมาประยุกต์ใช้ในการทำงาน ผ่านการออกนโยบาย ‘cloud first policy’ นำไปสู่การประหยัดต้นทุนทางธุรการและความปลอดภัยในการเก็บเอกสาร
ทั้งปดิพัทธ์ยังต้องการที่จะขับเคลื่อนสภา โดยคิดถึงความยั่งยืนในการบริหารจัดการ ส่งเสริมการผลิตและใช้พลังงานสะอาดในอาคารรัฐสภา เพื่ออำนวยความสะดวกให้เจ้าหน้าที่และผู้ใช้บริการในการใช้ยานพาหนะที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ในส่วนสภาของประชาชน ที่ปดิพัทธ์กล่าวถึงนั้น ก็จะเป็นการขับเคลื่อนให้สภายึดโยงกับประชาชนและฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการเมืองไทยในระบบรัฐสภา ผ่านการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยเฉพาะเยาวชน การใช้พื้นที่รองรับกิจกรรมและการแสดงออกทางการเมือง อย่างลานประชาชนจะเปิดใช้ในวันที่ 10 ธันวาคมนี้
รวมไปถึง ปดิพัทธ์ก็ต้องการขับเคลื่อน ‘สภาสรรจร’ เพื่อนำพากลไกลของสภาไปใกล้ชิดกับประชาชนทุกพื้นที่ โดยเฉพาะผู้ที่ไม่มีสิทธิเลือกตั้ง หรือผู้ที่อยู่ชายขอบซึ่งเป็นพลเมืองของประเทศไทย และจะเดินหน้าในการตรวจรับสภาให้ไม่มีการทุจริต ให้มีความรับผิดชอบต่อความล่าช้าและจะทำให้ประชาชนรู้ว่างบประมาณจากภาษีของประชาชนนั้นเป็นประโยชน์ของใคร
อย่างไรก็ดี ปดิพัทธ์ยังต้องการปฏิบัติหน้าที่รองประธานสภาอย่างเป็นกลางไม่ว่าสังกัดพรรคใด ดังนั้นการที่ต้องเปลี่ยนพรรคต้นสังกัดจึงจะไม่กระทบต่อหนา้ที่ และผลงานในฐานะรองประธานสภา
ปดิพัทธ์ยังมั่นใจว่าพรรคก้าวไกลมีบุคลากรและมีความพร้อมในการจะดูแลความทุกข์ร้อนของงประชาชนชาวพิษณุโลกเขต 1 แน่นอน โดยเขาจะยังเป็น สส.ที่ได้รับความไว้วางใจจากชาวพิษณุโลก และการตัดสินใจครั้งนี้เขาก็ได้สอบถามพี่น้องประชาชนในเขต และทั่วประเทศอย่างคร่าวๆ เรียบร้อยแล้ว “ผมมั่นใจว่าการทำหน้าที่ในการเป็นร้องประธานสภาฯ ของผมนั้น เป็นประโยชน์ต่อการดูแลทุกข์สุขของชาวพิษณุโลกเฉกเช่นเดิม “
แต่ในการทำงานในฐานะพรรค พรรคจะต้องตัดสินใจเอง และปดิพัทธ์เชื่อว่าพรรคก้าวไกลจะมีบุคลการในฐานะของพรรคก้าวไกลในพิษณุโลกเขต 1 ได้ ซึ่งพรรคยังมี สส.พรรคก้าวไกลในพิษณุโลกอีก 1 คน และทีมงานที่อยู่กับทีมจังหวัดของพิษณุโลก ก็จะทำงานร่วมกับเขาเหมือนที่เคยรับผิดชอบมาก่อน
ปดิพัทธ์กล่าวต่อว่า “ผมขอน้อมรับมติของพรรคก้าวไกลที่ต้องการทำหน้าที่ฝ่ายค้านให้สมบูรณ์แบบ และพรรคก้าวไกลได้ตัดสินใจให้สมาชิกภาพของผมในฐานะสมาชิกก้าวไกลนั้นได้ยุติลง”
“จากนี้เป็นต้นไปนะครับ ไม่ว่าผมจะไปสังกัดพรรคการเมืองใด ผมจะผลักดันการทำงานของสภาอย่างเต็มที่ ตามที่ได้ให้คำมั่นสัญญาเอาไว้ ในฐานะรองประธานที่เป็นกลางต่อทุกพรรค และเป็นรองประธานสภาฯ ของพี่น้องประชาชนทุกคนครับ” ปดิพัทธ์กล่าวทิ้งท้าย
อ้างอิงจาก