“เราอาจขนานนามสุนทรภู่ว่าเป็น วิลเลียม เชกสเปียร์ เมืองไทย แต่การอธิบายว่าเขาคือใคร เขาทำอะไรให้คนต่างชาติฟังค่อนข้างจะยาก ยกเว้นเราจะแปลกลอนออกมาในแบบที่คงฉันทลักษณ์ไว้ เพื่อทำให้คนต่างชาติตระหนักว่าบทกลอนไทยไพเราะอย่างไร”
ข้างต้นคือเหตุผลนึงที่ทำให้ เคน–เมธิส โลหเตปานนท์ นักศึกษาปริญญาเอกสาขารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยมิชิแกนตัดสินใจแปลกลอนไทยเป็นภาษาอังกฤษ แล้วโพสต์ลงบล็อกส่วนตัวของตัวเอง และใน X รวม 2 ครั้ง ซึ่งได้รับความสนใจอย่างมากจากชาวเน็ต โดยมีการแชร์ทั้งสองโพสต์ไปมากกว่า 10,000 ครั้ง
The MATTER ได้มีโอกาสพูดคุยกับเมธิสถึงมุมมองเขาต่อวงการกลอนในเมืองไทย ทำไมกลอนไทยถึงดูเงียบเหงาเมื่อเทียบกับกลอนญี่ปุ่นหรือกลอนอังกฤษ รวมถึงแรงบันดาลใจที่ทำให้ตัดสินใจแปลกลอนของสุนทรภู่
ทำไมแปลกลอนไทยเป็นภาษาอังกฤษ
“แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์ มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน”
(Do not trust others, he said: be afraid of the human mind. Even the most twisted of vines seems benign compared to the soul.)
หนึ่งในกลอนบทที่เมธิสชอบที่สุดจากเรื่อง ‘พระอภัยมณี’ ตอนสุดสาคร
เมธิสเล่าว่าความทรงจำแรกของเขากับบทกลอนก็เป็นเช่นเดียวกับทุกคน คือการท่องจำจากหนังสือวรรณคดีวิจักษ์และวรรณคดีลำนำ ก่อนไปสอบอ่านแบบทำนองเสนาะกับครู เพียงแต่ด้วยความชอบภาษาไทยบวกกับความชื่นชมสุนทรภู่ เขาจึงตัดสินใจแปลกลอนไทยเป็นภาษาอังกฤษโพสต์ลงพื้นที่ออนไลน์ส่วนตัว รวมถึงส่งไปยังสำนักข่าว Thai Enquirer
“ผมว่ากลอนในแต่ละภาษา มันมีเสน่ห์และเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนกัน สำหรับกลอนไทยก็มีทั้ง กลอนสี่, กลอนแปด, ฉันท์, กาพย์ หรือโคลง มันมีทั้งสัมผัสนอก สัมผัสใน การบังคับเรื่องวรรณยุกต์ และยังมาอ่านเป็นทำนองเสนาะได้ด้วย ผมคิดว่าเป็นเอกลักษณ์ เป็นสิ่งที่บทกวีของเรามี ถามว่าประเทศอื่นมีบ้างไหม เราก็ไม่ทราบ” เมธิสพูดถึงเสน่ห์ของกลอนไทยในมุมของตัวเอง
เมธิสเล่าว่าการแปลกลอนทำได้ 2 แบบคือ วิธีที่หนึ่งคือเก็บความหมายให้มากที่สุด โดยวางเรื่องฉันทลักษณ์ลง และวิธีที่สองคือ แปลโดยเก็บฉันทลักษณ์ ซึ่งเมธิสเลือกวิธีที่สอง เพราะมองว่ามันทำให้คุณค่าดั้งเดิมของกลอนยังดำรงอยู่
“ผมเลือกวิธีที่สอง (แปลโดยเก็บฉันทลักษณ์ของกลอน) เพราะว่ากลอนมันไม่ได้เป็นแค่เรื่องของความหมาย มันคือการผสมความหมายกับคุณค่าทางภาษาเพื่อให้เกิดอรรถรส ให้เกิดความรู้สึกที่เราต้องการ” เมธิสกล่าว
อย่างไรก็ตาม เมธิสยอมรับว่าการแปลข้ามรากภาษาโดยที่คงลักษณะดั้งเดิมไว้ ทำให้ต้องใช้คำศัพท์ที่มีควาหมายคลาดเคลื่อนจากภาษาไทยบ้าง และนำไปสู่คำถามตามมาว่า มันเป็นการแปลหรือการปรับแต่งให้เป็นกลอนบทใหม่ โดยมีแรงบันดาลใจจากบทกลอนเดิม
ทำไมวงการกวีกลอนไทยเงียบเหงา
“ถึงม้วยดินสิ้นฟ้ามหาสมุทร ไม่สิ้นสุดความรักสมัครสมาน
แม้เกิดในใต้หล้าสุธาธาร ขอพบพานพิศวาสไม่คลาดคลา”
(Even if this world comes to an end I’ll still spend eternity with you.
Even if you must be born anew Then I, too, will be born and reunite) เมธิสแปลจากหนังสือ ‘พระอภัยณี’ ตอนนางละเวง
เมื่อปี 2020 อแมนดา กอร์แมน ได้ขึ้นร่ายบทกวี ‘หุบเขาที่เราปีนป่าย’ ในพิธีเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของ โจ ไบเดน หรือ ‘Milk and Honey’ ของ รูปี กอร์ ทำไมถึงกลายเป็นที่หนังสือบทกวียอดนิยมในหลายประเทศได้ คำถามคือ ทำไมวงการบทกวีและกลอนไทยถึงเงียบเหงานัก?
เมธิสมองว่าไม่ใช่เพียงแค่วงการกลอนไทยที่เงียบเหงา เพราะมีข้อมูลที่ชี้ว่าคนอ่านกลอนในอเมริกาเองก็น้อยลงเรื่อยๆ เช่นกัน ซึ่งเขามองว่าสาเหตุหนึ่งเป็นเพราะมีสื่ออื่นๆ โดยเฉพาะดนตรี ที่การแต่งเนื้อร้องคล้ายกับกลอน เพียงแต่จังหวะและการเล่าไม่เหมือนกัน
สาเหตุประการที่สอง ข้อจำกัดด้านฉันทลักษณ์ เมธิสแสดงความเห็นว่ากลอนมีกรอบบางอย่างครอบไว้อยู่ ดังนั้น ถ้าไม่ใช่คนท่ีมีสกิลภาษาระดับสูง การแต่งกลอนนับว่าเป็นเรื่องที่ยากทั้งแง่การสร้างสรรค์และการเข้าถึง
“ในอีกแง่มุมหนึ่ง ผมคิดว่าเราไม่ได้จำเป็นต้องผลักดันให้คนส่วนใหญ่หันมาใส่ใจบทกวีเป็นเรื่องหลัก เพราะมันไม่ได้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ปัจจุบันมีสื่อมากมายให้เสพ แต่เราควรสร้างพื้นที่ให้คนสนใจภาษาเข้าถึงกลอนไทยได้” เมธิสกล่าว
เมธิสทิ้งท้ายในประเด็นนี้ว่า สิ่งหนึ่งที่สำคัญมากคือการสนับสนุนจากภาครัฐ แต่ไม่ใช่ในแง่การอนุรักษ์อย่างบังคับให้เด็กทุกคนจำกลอนไปท่องให้ครูฟัง หรือมีงานวันสุทรภู่เพียงอย่างเดียว มันต้องมาควบคู่กับการส่งเสริมและส่งออก
ภาครัฐต้องไม่ใช่แค่อนุรักษ์ แต่ต้องส่งออก
“อันความคิดวิทยาเหมือนอาวุธ ประเสริฐสุดซ่อนใส่เสียในฝัก สงวนคมสมนึกใครฮึกฮัก จึงค่อยชักเชือดฟันให้บรรลัย”
(Knowledge and thoughts are like a sword that’s best stored in a scabbard. Keep its true sharpness under guard. Slash them hard only when challenged.)
นิราศภูเขาทอง แปลโดย เมธิส โลหเตปานนท์
เมธิสแสดงความเห็นในภาพกว้างว่า ภาครัฐไทยควรหันมาสนับสนุนกลอนในฐานะหนึ่งในเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยอันดับแรก เริ่มจากการเริ่มจากการหานักแปลมืออาชีพมาแปลกลอนเสียก่อน โดยอาจเป็นการให้ทุนกับนักแปลเช่นเดียวกับรัฐบาลญี่ปุ่น จนทำให้ในปัจจุบัน ‘ไฮกุ (บทกวีญี่ปุ่น)’ มีการแปลออกมาในหลายภาษา รวมถึงมีบางโรงเรียนที่ให้นักเรียนอ่านและทดลองแต่งไฮกุด้วยภาษาตัวเอง
“ถ้าเป็นเรื่องของบทกวีและวรรณกรรมไทย ก้าวแรกคือต้องทำให้คนต่างประเทศพูดถึงมันให้ได้ก่อน ต้องเริ่มจากมีการแปลเป็นภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ” เมธิสกล่าวต่อ “เราต้องไม่มองวรรณคดีและวรรณกรรมในแง่มุมอนุรักษ์อย่างเดียว แต่ต้องมองในมุมการส่งเสริมและส่งออกด้วย ไม่ใช่แค่อนุรักษ์วัฒธรรมไทย แต่จะส่งออกไปต่างประเทศได้อย่างไร”
ญี่ปุ่นมีการสนับสนุนวรรณกรรมอย่างจริงจัง โดยมีการก่อตั้งมูลนิธิ Japan Foundation ขึ้นในปี 1972 โดยมีหน้าที่หลักคือเผยแพร่วัฒนธรรมญี่ปุ่น หนึ่งในนั้นคือการให้ทุนกับนักแปลภายในและนอกประเทศ ที่ต้องการแปลวรรณกรรมญี่ปุ่นเป็นภาษาอื่น โดยล่าสุดเมื่อเดือมกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้มีการลงทุนเพิ่มอีก 65 ล้านเยน (16 ล้านบาท) เพื่อสนับสนุนงานแปลวรรณกรรมญี่ปุ่นโดยเฉพาะ
อีกเรื่องหนึ่งที่เมธิสแสดงความเห็นคือ ความแข็งตัวของกลอนไทย เขายกตัวอย่างบทกวีของ รูปี กอร์ ที่ทำให้เกิดข้อถกเถียงถึงรูปแบบของบทกวีและกลอน
“ผมคิดว่ามันมีความรู้สึกนั้นอยู่ว่า ‘กลอนมันต้องเป๊ะ’ ซึ่งผมต้องตั้งคำถามว่าการเรียนแบบท่องจำบทกลอนยังมีความจำเป็นขนาดไหน บทกลอนคือศิลปะ มันต้องมีอิสระทางความคิด มีเสรีภาพในการแสดงออก ต้องใช้ความสร้างสรรค์ของเราเองได้” เมธิสกล่าวต่อ
“กฎมี แต่แหกกฎได้ตอนไหน เป็นคำถามที่น่าถาม”
เมธิสชวนคิดต่อว่าสิ่งที่ควรสอนไม่ใช่การท่องจำ แต่คือเนื้อหาของกลอนบทนั้นๆ รวมถึงการกลับมาทบทวนกันว่าหัวใจหลักของบทกวีและกลอน แท้จริงแล้วคืออะไรกันแน่
“ควรมีการให้นักเรียนตีความว่า กลอนคืออะไร กลอนต้องทำตามฉันทลักษณ์ทุกข้อหรือไม่ หรือในประเทศที่มีกลอนรูปแบบใหม่ๆ มีฟรีเวิร์สที่ไม่ได้คล้องจองกัน พวกเราจะยอมรับว่ามันเป็นกลอนหรือเปล่า ผมคิดว่าเรื่องพวกนี้น่าคิด เพราะมันช่วยให้ทำความเข้าใจภาษาได้มากขึ้น”
“สุดท้ายแล้ว ผมว่ากลอนมันไม่ใช่สิ่งที่มีความหมายตายตัว ถ้าสังคมหรือศิลปะพัฒนาขึ้น เราอาจเห็นสิ่งเหล่านี้ที่แตกต่างมากขึ้นก็ได้” เมธิสทิ้งท้าย
อ่านบทกลอนของเมธิสได้ที่: https://kenlwrites.com/2023/06/25/an-introduction-to-the-poetry-of-sunthorn-phu/ และ https://kenlwrites.com/2023/09/22/poetry-translation-pruedsopakasorn/
ติดตามเขาได้ที่: https://twitter.com/kenlwrites