ลองจินตนาการว่า หากเรากำลังอยู่ท่ามกลางเสียงระเบิดที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไฟฟ้าดับสนิท แถมโทรศัพท์ยังใช้การไม่ได้ จะน่าตื่นกลัวแค่ไหน? ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซากำลังเผชิญอยู่ นับตั้งแต่ช่วงค่ำวานนี้ (27 ตุลาคม) หลังกองทัพอิสราเอลเพิ่มการโจมตีทั้งทางบกและอากาศ โดยมีเป้าหมายที่ฐานของกลุ่มฮามาส
รายงานจากสำนักข่าวต่างประเทศอ้างคำบอกเล่า ทั้งจากชาวปาเลสไตน์ นักข่าว รวมถึงบรรดาเจ้าหน้าที่องค์กรภาคประชาสังคม ที่ว่าพวกเขาสูญเสียการติดต่อกับเจ้าหน้าที่และครอบครัวในฉนวนกาซา หลังจากที่อิสราเอลตัดขาดสัญญาณอินเทอร์เน็ต และการสื่อสาร ต่างๆ ทำให้ประชาชนคล้ายถูกตัดขาดการติดต่อกับโลกภายนอก
ผู้ให้บริการโทรคมนาคมชาวปาเลสไตน์ อย่าง Paltel ระบุว่า การโจมตีทำให้บริการอินเทอร์เน็ต โทรศัพท์มือถือ และโทรศัพท์พื้นฐานต้อง “หยุดชะงักโดยสิ้นเชิง”
ไม่ใช่เพียงตัดขาดการสื่อสารกับบรรดาผู้เป็นที่รัก แต่ผลลัพธ์ที่ร้ายแรงกว่า คือ ไม่มีใครทราบจำนวนผู้เสียชีวิตจากการโจมตี และรายละเอียดการบุกรุกภาคพื้นดินได้ในทันที ซึ่งนั่นส่งผลกระทบอีกต่อระบบการช่วยเหลือทางการแพทย์ ซึ่งจวนจะล่มสลายภายใต้การล้อมโจมตีอย่างต่อเนื่องตลอดสามสัปดาห์
“การหยุดชะงักส่งผลกระทบต่อหมายเลขฉุกเฉินส่วนกลาง 101 และขัดขวางการเข้าถึงรถพยาบาลของผู้บาดเจ็บ” สมาคมเสี้ยววงเดือนแดงปาเลสไตน์ ระบุ รวมถึงกระทบการทำงานของหน่วยงานบรรเทาทุกข์และกลุ่มสิทธิมนุษยชน อย่าง Unicef, ICRC, Médecins Sans Frontières และ Amnesty ที่ไม่สามารถติดต่อกับเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ได้
ลินน์ แฮสติงส์ (Lynn Hastings) ผู้ประสานงานด้านมนุษยธรรมของสหประชาชาติ ประจำปาเลสไตน์ ทวีตข้อความ บอกเล่าปัญหาดังกล่าว ระบุ “สงครามย่อมต้องมีกฎเกณฑ์ พลเรือนจะต้องได้รับการคุ้มครอง”
นั่นทำให้ คณะกรรมการคุ้มครองนักข่าว ออกมาแสดงความกังวลว่า “โลกกำลังสูญเสียหน้าต่างสู่ความเป็นจริง” ของความขัดแย้ง เพราะสุญญากาศข้อมูลอาจทำให้เต็มไปด้วยการโฆษณาชวนเชื่อที่เป็นอันตรายถึงชีวิต การบิดเบือน และข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งสอดคล้องกับแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ที่มองว่า การติดตามหลักฐานที่สำคัญเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน และอาชญากรรมสงครามจะยากยิ่งขึ้น
ท่ามกลางความมืดมิดหลังจากที่ไฟฟ้าส่วนใหญ่ถูกตัดขาด และเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องปั่นไฟหมด จนทำให้ผู้คนกว่า 2.3 ล้านคนในกาซา ถูกแยกออกจากส่วนอื่นๆ ของโลก มีเพียงระเบิดจากการโจมตีทางอากาศเท่านั้น ที่ทำให้ท้องฟ้าเหนือเมืองกาซาสว่างไสวอยู่เป็นระยะ
อ้างอิงจาก
theguardian