“เวลาพูดถึงหน้าที่พลเมือง ศาสนา ประวัติศาสตร์ ไม่ได้หายไปจากหลักสูตรเลย ที่ต้องตั้งคำถามคือทุกวันนี้สอนกันยังไงมากกว่า การมีอยู่ไม่ได้แปลว่าดีนะ การมีอยู่แล้วดีต่างหากที่สำคัญ”
นี่เป็นความคิดเห็นของ อรรถพล อนันตวรสกุล อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ออกตัวตั้งแต่ต้นการสนทนากับ TheMATTER ว่า ในรอบเกือบทศวรรษมานี้ เขาจำต้องตอบข้อสงสัยเช่นนี้มานับครั้งไม่ถ้วน
ภาพที่ถูกส่งต่อกันนับพันครั้งในโลกออนไลน์ ด้วยข้อความว่า ‘อยากให้วิชา 3 วิชานี้กลับมา…หน้าที่พลเมือง ศีลธรรม ประวัติศาสตร์’ จนแทบจะไม่รู้ที่มาตั้งต้น ดูจะไม่สร้างแรงสั่นสะเทือนมาก เมื่อเทียบกับการที่ข้าราชการ ผู้มีอำนาจร่วมส่งต่อความเข้าใจผิด คล้ายกับว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นจริงแล้ว
ทั้งที่ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เอง ก็เคยยืนยันว่า การเรียนการสอนใน 4 วิชา คือ พระพุทธศาสนา หน้าที่พลเมือง ศีลธรรม และประวัติศาสตร์ชาติไทย ยังคงมีอยู่ในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน (ป.1- ม.6) มาตั้งแต่ปี 2551 จนถึงปัจจุบัน เพียงมีการปรับปรุงตัวชี้วัดบางประการ
เหตุใดยังมีความเข้าใจผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก? และอนาคตห้องเรียนสังคมควรเป็นอย่างไร?
อ.อรรถพล ระบุว่า ไม่นานมานี้กระทรวงศึกษาธิการเพิ่งมีการประกาศใช้แนวปฏิบัติในการเรียนการสอนวิชาเหล่านี้ จึงไม่เป็นผลดีหาก ศธ. จะนิ่งเฉย ไม่แก้ไขความเข้าใจผิด ทั้งที่มีหน้าที่โดยตรงในการสื่อสารกับสังคม
“ใครที่มีลูกอยู่ในวัยเรียน หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการศึกษา จะรู้ว่าวิชาเหล่านี้ไม่ได้หายไปหรอก แต่การที่ข้าราชการผู้ใหญ่ถึงจะต่างกระทรวง ซึ่งอาจไม่ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับการศึกษา และมีส่วนในการส่งต่อข้อมูลที่ผิดเพี้ยนไป ถ้า ศธ.ไม่อธิบายให้ดีก็ต้องเจอดราม่าลักษณะนี้อีกหลายครั้ง”
ภายใต้ธรรมชาติของกลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ล้วนแต่มีความเป็นพลวัต ไม่มีความจริงถาวร สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อตกไปอยู่ในมือของคุณครูรุ่นใหม่ จึงมีการปรับเปลี่ยนให้ตั้งคำถามเชิงวิพากษ์มากขึ้น
แต่นั่นก็อาจไม่ได้เกิดขึ้นเสียทั้งหมด เหตุผลประการหนึ่ง อ.อรรถพล ชี้ถึงปัญหาของหลักสูตรที่ยังไม่ปรับตัว บรรดาคุณครูจึงต้องพลิกแพลงนำปรากฏการณ์ปัจจุบันที่เกิดขึ้นมาเป็นบทเรียน
“เป็นเรื่องดีถ้าผู้กำหนดนโยบายยังเห็นคุณค่าความสำคัญ เพราะในการทำงานจริง วิชาเหล่านี้มักจะถูกส่งต่อนโยบายจากบนลงล่างอยู่บ่อยๆ มีการสั่งการโดยไม่ได้เคารพความหลากหลายของวิชาเหล่านั้น อย่างการหวังจะให้สอนประวัติศาสตร์เรื่องเล่ากระแสหลักอย่างเดียว และข้ามขั้นตอนฝึกคิด สืบค้น และตั้งคำถาม ที่เป็นหัวใจสำคัญของวิชาเหล่านี้”
เป้าหมายของการเรียนการสอนคืออะไร?
ถือเป็นข้อคำถามแรกที่ อ.อรรถพล เรียกร้องให้ผู้มีอำนาจทำความเข้าใจให้ตรงกันและชัดเจน เพราะล้วนส่งผลต่อการใช้งบประมาณจำนวนมาก
“ตลอดหลายปีมานี้ในมุมครูถูกเรียกมาอบรมกันบ่อยมากเลย ด้วยชุดความคิดของประวัติศาสตร์แบบเดิม บิ้วเรื่องความรักชาติ ทั้งที่นี่ปี 2566 แล้ว วิชาเหล่านี้คือหัวใจ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่รัฐจะพยายามเข้าควบคุม เพราะการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ สามารถเลือกให้จำ ทำให้ลืมได้”
อ.อรรถพล ยกตัวอย่างการนิยามความเป็นไทยที่หากคับแคบ หรือแข็งตัวเกินไปย่อมไม่เป็นผลดี เช่นเดียวกับวิชาพระพุทธศาสนาที่อ้างอิงความเป็นรัฐไทยเกินไป
“การเอาบรรดาพระอาจารย์มาช่วยเขียนหลักสูตร ก็เป็นการสอนแบบปริยัติธรรม (พระพุทธพจน์ หรือพระไตรปิฎก) ไม่ใช่สอนให้เอาไปใช้ในชีวิตประจำวัน ถ้าอยู่ในมือครูที่เข้าใจก็ดีไป ไม่หนักข้อแบบนั่งท่องจำบาลีอย่างเดียว”
“ถ้าไปนิยามแบบคับแคบ แค่ท่องจำคำสอนในพระพุทธศาสนา ท่องจำความเป็นไทย ท่องคำขวัญ จำเรื่องเล่ากระแสหลักของฮีโร่ อย่างนี้ก็เป็นการสอนที่ตื้นเขินมากๆ ไม่ได้เข้าไปที่แก่นของตัวศาสตร์”
เขาเข้าใจวิชาพวกนี้ว่าคืออะไร? อ.อรรถพลตั้งข้อสังเกต และชี้ว่ากลุ่มวิชาเหล่านี้ล้วนมุ่งตั้งคำถาม และหาข้อมูล เพื่อตอบอย่างเป็นระบบ
“ถึงต้องตอบแล้วตอบอีก คิดแง่ดีว่ามีประเด็นถกเถียงเรื่องนี้บ้างก็ดี จะได้มีการตั้งคำถามถึงการมีอยู่ของวิชาเหล่านี้” อ.อรรถพล กล่าวปิดท้าย