นอน 8 ชั่วโมง กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ยังไม่พอ แต่ต้องดูแลให้มากกว่านี้อีก
ทุกวันนี้แค่ไถฟีดโซเชียล เราก็เจอคำแนะนำของกูรูด้านสุขภาพมากมาย ไม่ว่าจะหันไปทางไหน ใครๆ ก็พูดถึงเรื่องสุขภาพกันทั้งนั้น ตั้งแต่การกิน การดื่ม การเดิน การหายใจ การนอน ไปจนถึงเทรนด์อาหารแบบใหม่ให้ทุกคนลองทำตาม จึงไม่แปลกที่ทำให้เราอยากใส่ใจร่างกายตัวเองไปด้วย
เพื่อสุขภาพที่ดี เราเลยพยายามปรับนิสัยและทำตามคำแนะนำต่างๆ ที่ใครว่าดีอย่างเคร่งครัด แต่พอนานไปเริ่มรู้สึกว่าข้อห้ามต่างๆ กลับเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากที่เคยใช้ชีวิตได้อย่างสบายๆ ก็ต้องคอยระวังตัวเองตลอดเวลา จนทำให้การใช้ชีวิตประจำวัน รวมถึงการออกไปทำกิจกรรมกับเพื่อนๆ กลายเป็นเรื่องยากกว่าเดิมแทนที่สุขภาพจะดีขึ้น ก็อาจรู้สึกกดดันหรือเหนื่อยล้าโดยไม่รู้ตัว
และเมื่อโลกของการดูแลสุขภาพมากเกินไปก็มีข้อควรระวัง วันนี้เราชวนมารู้จักเหตุผลที่เราหมกมุ่นกับการดูแลสุขภาพกันมากขึ้น พร้อมวิธีที่ทำให้เราดูแลตัวเองโดยไม่ต้องกดดันตัวเองมากเกินไปกัน
เมื่อคนหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น
การดูแลสุขภาพไม่ใช่แค่เรื่องของความเป็นอยู่ที่ดีเท่านั้น แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทุกวันนี้เรื่องสุขภาพกลายเป็นสิ่งที่สร้างรายได้ให้กับธุรกิจจำนวนไม่น้อย
ข้อมูลจาก BBC อธิบายความหมายของคำว่า wellness หรือความเป็นอยู่ที่ดี ไว้ว่า แต่เดิมคำนี้มักหมายถึงสภาวะที่ร่างกายแข็งแรงปราศจากโรคภัย แต่ทุกวันนี้คำนี้ได้ขยายความหมายออกไปกว้างกว่านั้น โดยไม่ได้หมายถึงการรักษาโรคตามอาการเสมอไป แต่เชื่อว่าเราสามารถพัฒนาสุขภาพกายและใจ ผ่านอาหารการกิน การออกกำลังกาย และการผ่อนคลายได้ ซึ่งจะช่วยให้เรามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
จนกระทั่งในยุคที่เราทำการตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย คำว่า wellness กลายเป็นคำที่จุดกระแสการดูแลตัวเองหลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการทำสมาธิ การแช่น้ำคลายเครียด หรือการบำบัดด้วยเสียง นอกจากนี้คำนี้ยังถูกนำไปขายสินค้าต่างๆ ซึ่งสร้างมูลค่ามหาศาลอีกด้วย
ข้อมูลจากสถาบัน Global Wellness พบว่าอุตสาหกรรมด้านสุขภาพกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น โดยคาดว่ามีการเติบโตถึง 12% ต่อปีนับตั้งแต่ปี 2020 และ คาดการณ์ว่าจะเติบโตอีก 52% ภายในปี 2027 ซึ่งในปี 2024 ที่ผ่านมาในอุตสาหกรรมนี้ก็มีมูลค่าแตะ 6.8 ล้านล้านดอลลาร์ หากลองคิดเป็นเงินไทยคร่าวๆ ก็ราว 220 ล้านล้านบาทไทยเข้าไปแล้ว

ปกติแล้วเรามักเข้าใจว่าการดูแลสุขภาพมักเป็นเรื่องของผู้ใหญ่วัยกลางคน หรือผู้สูงอายุ แต่ปัจจุบันเราอาจต้องทำความเข้าใจเรื่องนี้ใหม่ เพราะทุกวันนี้คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพกันมากขึ้น
เห็นได้จากผลสำรวจของ McKinsey สํารวจผู้บริโภคมากกว่า 9,000 คนทั่วประเทศจีน เยอรมนี สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา พบว่าเหล่าคนเจน Z และเจน Y ใช้จ่ายไปกับด้านสุขภาพมากถึง 41% เมื่อเทียบกับคนรุ่นอื่น ไม่ว่าจะเป็น อุปกรณ์ติดตามสุขภาพ การพักผ่อนเพื่อสุขภาพ หรือเครื่องดื่มชูกําลัง โดยเฉพาะในประเทศจีน ที่มีการแข่งขันกันผลิตยาหรืออาหารเสริมบำรุงสุขภาพอย่างดุเดือด เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้น
การจับจ่ายใช้เงินไปกับอุปกรณ์เหล่านี้ ส่วนหนึ่งก็มาพร้อมเทรนด์การดูแลสุขภาพในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ข้อมูลจาก business insider สื่อด้านธุรกิจจากอเมริกา ยังชี้ให้เห็นว่าทุกวันนี้คนรุ่นใหม่หันมาดูแลสุขภาพกันมากขึ้น สังเกตได้จากผลสำรวจที่พบว่าคนรุ่นใหม่ดื่มแอลกอฮอล์น้อยลง มักออกกำลังกาย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ แถมยังมองว่าการสูบบุหรี่หรือการใช้สารเสพติดไม่ใช่เรื่องเท่อีกต่อไป แต่มองว่าการดูแลสุขภาพคือสิ่งที่ดีมากกว่า
แล้วเหตุผลอะไรที่ทำให้ผู้คนหันมาดูแลสุขภาพตั้งแต่อายุยังน้อยกันละ? สาเหตุหนึ่งที่น่าสนใจคือเพราะพวกเขามีความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพมากขึ้น ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ หรือสิ่งแวดล้อม สิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อความเป็นอยู่ที่ดีของคนรุ่นใหม่ นอกจากนี้ยังเกี่ยวกับมาถึงของโซเชียลมีเดีย เพราะพวกเขาต้องใส่ใจต่อภาพลักษณ์ที่แสดงออกไปให้คนภายนอกเห็น จึงทำให้คนรุ่นใหม่หันมาดูแลสุขภาพไปโดยปริยาย
ทั้งเม็ดเงินในตลาดจำนวนมหาศาลของอุตสาหกรรมด้านสุขภาพ บวกกับเทรนด์ของคนรุ่นใหม่ที่หันมาสนใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น ทั้งหมดนี้มีส่วนทำให้ wellness กลายเป็นคำสำคัญของคนยุคนี้

เมื่ออินฟลูเอนเซอร์ทำให้เราหมกมุ่นกับสุขภาพ
คงไม่ผิดอะไรหากเราจะหันมาดูแลสุขภาพตัวเองให้ดี ให้สมกับคำกล่าวที่ว่าการไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ เพราะถึงยังไงการมีร่างกายแข็งแรง และสุขภาพจิตที่ดีก็ช่วยให้ชีวิตด้านต่างๆ ของเราดีขึ้นได้จริง
แต่ถึงอย่างนั้น การหมกมุ่นกับสุขภาพมากเกินไปก็ยังมีข้อควรระวัง โดยเฉพาะในยุคที่การดูแลสุขภาพเหมือนแฟชั่น ที่ไม่ว่าใครก็สามารถชักชวนให้ทำตามได้ง่ายๆ หากเราเลือกทำตามคำแนะนำจากเหล่าอินฟลูเอนเซอร์โดยไม่ตรวจสอบ ก็อาจส่งผลเสียต่อร่างกายโดยไม่รู้ตัว
มีการศึกษาโดยมหาวิทยาลัยซิดนีย์ พบว่าเหล่าอินฟลูเอนเซอร์มีส่วนให้ข้อมูลที่เข้าใจผิดจำนวนมาก เกี่ยวกับการทดสอบทางการแพทย์ โดยนักวิจัยได้วิเคราะห์เกือบ 1,000 โพสต์ ที่ชักชวนให้คนมาสแกน MRI เพื่อตรวจหาโรค ผลปรากฏว่า โพสต์ส่วนใหญ่ไม่มีการอ้างอิงหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ แต่เน้นไปที่ส่งเสริมการขาย นอกจากนี้ 68% ยังเป็นอินฟลูเอนเซอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากการขาย แถมอีก 85 % ยังเลี่ยงที่จะกล่าวถึงข้อเสียหรือความเสี่ยงจากการทดสอบที่ชักชวนให้คนลองทำด้วย
จะเห็นว่าข้อมูลด้านสุขภาพที่เราได้ยินจากอินฟลูเอนเซอร์อาจไม่ได้ครบถ้วนเสมอไป ซึ่งทำให้การดูแลสุขภาพแทนที่ช่วยให้เราห่างไกลจากโรคภัย กลายเป็นความเสี่ยงขึ้นมาทันที ไม่เพียงแต่อันตรายกับสุขภาพเท่านั้น การหมกมุ่นกับสุขภาพมากเกินไป ยังทำให้เรารู้สึกแย่กับตัวเองมากขึ้นด้วย
อังเดร สไปเซอร์ (André Spicer) หนึ่งในผู้เขียนหนังสือ The Wellness Syndrome และศาสตราจารย์ด้านพฤติกรรมองค์กรจาก Cass Business School ชี้ว่าความคิดเรื่อง wellness กลายเป็นเหมือนอุดมการณ์อย่างหนึ่ง จึงมักมาพร้อมกับความคิดว่าใครที่ไม่ทำตามแนวทางนี้จะกลายเป็นคนที่ด้อยกว่า เช่น อาจมองว่าคนที่ไม่ดูแลตัวเองเป็นคนขี้เกียจ หรือไม่มีความมุ่งมั่นมากพอ หรืออีกหนึ่งตัวอย่างที่ทำให้เห็นภาพชัดขึ้น อย่างการที่หลายคนมองว่าคนผอมคือคนสุขภาพดีกว่า และมองว่าคนอ้วนคือคนไม่ดูแลตัวเอง ทั้งที่จริงคนอ้วนก็มีสุขภาพที่ดีได้ และคนผอมก็มีโอกาสเป็นโรคได้เช่นเดียวกัน
แนวคิดนี้จะอันตรายมากขึ้นหากเราใช้สายตาเหล่านั้นกลับมามองที่ตัวเองแทน เพราะแนวคิด wellness มักเชื่อว่าผลของร่างกายมาจากการกระทำของเราเอง หากเรามีจุดบกพร่องก็ย่อมเป็นความผิดของเราคนเดียว ทั้งที่จริงยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกมากมายที่เราควบคุมไม่ได้ แต่ส่งผลต่อร่างกายของเรา ทั้งอากาศบริสุทธิ์ที่เราใช้หายใจ การเข้าถึงระบบรักษาพยาบาล อาหารจากธรรมชาติ ฯลฯ หากหลงลืมสิ่งเหล่านี้ไป ก็อาจยิ่งทำให้เรารู้สึกแย่ หดหู่ หรือพาลให้รู้สึกเกลียดตัวเองที่ไม่สามารถทำให้ตัวเองแข็งแรงให้มากกว่านี้
แทนที่เราจะรู้สึกดีขึ้นเมื่อเราได้ดูแลตัวเอง ก็อาจทำให้เราจมอยู่กับความรู้สึกผิด และพยายามหาสารพัดวิธีมาจัดการข้อบกพร่องแทน

ดูแลตัวเองอย่างไรในโลกที่เต็มไปด้วยข้อมูล
หนทางการดูแลตัวเอง จึงอาจไม่ใช่การแสวงหาทุกวิธีเพื่อให้ตัวเองพ้นจากโรคภัยเสมอไปก็ได้นะ บางครั้งเราอาจต้องกลับมาฟังเสียงร่างกายของตัวเองจริงๆ และยอมให้อภัยตัวเอง เมื่อผลลัพธ์ไม่เป็นอย่างที่เราคาดหวัง
ลอรี ซานโตส (Laurie Santos) ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยา จากมหาวิทยาลัยเยล ได้แนะนำสิ่งสำคัญของการดูแลตัวเองอย่างมีความสุขไว้คือ การมีสติอยู่กับปัจจุบัน อย่างการทำสมาธิ หรือออกไปทำกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ ร่วมกับคนอื่น นอกจากนี้อีกหนึ่งวิธีคือการให้อภัยตัวเอง
การให้อภัยตัวเองจะช่วยให้เราเปรียบเทียบและไล่ตามคนอื่นๆ น้อยลง เพราะเราอาจจะเห็นไลฟ์สไตล์มากมายเกี่ยวกับสุขภาพบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งแต่ละคนล้วนแต่โชว์ด้านที่ดีและมีความสุข อย่างการเตรียมอาหารเองทุกมื้อ ออกไปวิ่งทุกเช้า หรือทานวิตามินบำรุงร่างกายเป็นประจำ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ากิจวัตรเหล่านี้อาจไม่ได้เหมาะกับทุกคน เพราะต้องอาศัยทั้งเวลาและเงิน ดังนั้นจึงไม่ผิดอะไรหากเราจะไม่ได้ทำตามวิธีเหล่านี้อย่างเคร่งครัด เราอาจจะเลือกทำอาหารเองสลับกับทานอาหารนอกบ้านบางครั้ง หรือเดินให้บ่อยขึ้นแทนก็ได้
นอกจากนี้อย่าลืมตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพบนอินเตอร์เน็ตเสมอ หากเจอใครบอกว่าวิธีนี้ดีต่อสุขภาพ ทำได้ง่ายๆ หรือกระตุ้นให้เรารู้สึกกลัว วิตกกังวล ให้สงสัยไว้ก่อนเลยว่าอาจจะอาจไม่ใช่ข้อมูลที่ถูกต้อง เพราะวิธีเหล่านี้มักเป็นการพูดโน้มน้าวใจให้เราหลงเชื่อและทำตาม ดังนั้นอย่าลืมเช็คความน่าเชื่อถือจากแหล่งข้อมูล และลองเปรียบเทียบข้อมูลจากหลายๆ ที่มาด้วยนะ
เพราะการดูแลร่างกายเราเป็นเรื่องสำคัญ หากสุดท้ายแล้วคำแนะนำเหล่านี้ไม่ทำให้เรามีความสุขกับการใช้ชีวิต ก็อาจถึงเวลาต้องกลับมาทบทวนอีกครั้งว่าเรากำลังทำร้ายตัวเองอยู่หรือเปล่านะ
อ้างอิงจาก