ลีลาการเขียนเป็นเอกลักษณ์ เรื่องราวไม่เป็นเส้นตรง เน้นค้นหาอัตลักษณ์ และข้าใจตัวเอง
เคยสังเกตไหม หากเจอหนังสือเล่าเรื่องราวแนวข้างต้นเมื่อไหร่ ก็เป็นไปได้ที่จะถูกจัดเข้าไปอยู่ในหมวดหมู่วรรณกรรมร่วมสมัย อย่าง เดนดาว Neverdie (2025) ด้วยรักและผุพัง (2023) สิงโตนอกคอก (2017) ฯลฯ แต่นอกเหนือจากยุคสมัยแล้ว วรรณกรรมที่ผ่านกาลเวลามาหลายทศวรรษ เช่น ปีศาจ ของเสนีย์ เสาวพงศ์ (1947) หรือเรื่องข้างหลังภาพ ของศรีบูรพา (1937) ก็ยังคงถูกยกให้เป็นวรรณกรรมร่วมสมัย แม้ว่าทุกวันนี้บริบทหรือสังคมจะเปลี่ยนไปแล้วก็ตาม
แม้จะเคยได้ยินคำว่าวรรณกรรมร่วมสมัยอยู่บ่อยครั้ง แต่คำถามมากมายก็ยังผุดขึ้นในใจ จนอดสงสัยไม่ได้ว่าหน้าตาของวรรณกรรมร่วมสมัยเป็นแบบไหนกันแน่นะ คำว่าร่วมสมัย นี่ร่วมสมัยของใคร ทำไมหนังสือในยุคพ่อแม่หรือปู่ย่าตายาย ถึงยังเป็นวรรณกรรมร่วมสมัยกับเรา และทำไมหนังสือเหล่านี้ยังคงเชื่อมโยงกับเราอยู่ แม้จะผ่านมาหลายยุคสมัย
ไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะมีคนสงสัย และถามคำถามเหล่านี้เหมือนกับเรา เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจำกัดความว่า ‘ร่วมสมัย’ ที่จนถึงตอนนี้ก็ยังคงเป็นที่ถกเถียงในหมู่นักวิชาการว่าควรเริ่มตั้งแต่สมัยใด แต่เพื่อทำให้ความสงสัยนี้กระจ่างมากขึ้น เราชวนไปรู้จักวรรณกรรมร่วมสมัยในไทยให้มากขึ้น ตั้งแต่แนวคิดประกอบร่างเป็นงานเขียนร่วมสมัย กระทั่งงานเขียนเหล่านี้ส่งผลอย่างไรต่อนักเขียน และนักอ่านอย่างเรากันบ้าง

วรรณกรรมร่วมสมัย?
หากคำว่าร่วมสมัย ยังเป็นที่ถกเถียงในฝั่งงานศิลปะ ฝั่งวรรณกรรมเองก็สับสนไม่ต่างกัน เหตุผลก็เพราะคำว่าร่วมสมัยไม่ได้เป็นคำที่อยู่ได้ด้วยตัวเอง หากแต่อาจต้องเทียบเคียงช่วงเวลาร่วมด้วย ว่าสมัยที่ว่าคือสมัยใด สิ้นสุดที่เมื่อไหร่
ดังนั้นแล้วคำนี้จึงค่อนข้างคลุมเครือ เพราะในช่วงเวลาเดียวกัน ก็มีคนหลากหลายรุ่นที่อยู่ในยุคสมัยนั้นด้วย คนรุ่นหนึ่งอาจเติบโตมากับคำพิพากษาของ ชาติ กอบจิตติ ในขณะที่คนอีกรุ่นอาจเติบโตมาพร้อมกับแฮร์รี่ พอตเตอร์ ก็อาจมองว่าวรรณกรรมเรื่องแรกดูห่างไกล และไม่ร่วมสมัยเท่างานเขียนช่วงหลังๆ ที่พวกเขาเติบโตมา ทำให้แต่ละคนต่างก็มีหน้าตาของคำว่าร่วมสมัยต่างกันไป
อย่างไรก็ตาม ก็พอมีคำนิยามกว้างๆ จากการศึกษาเกี่ยวกับภาษาในวรรณกรรมไทยร่วมสมัย ที่ตีพิมพ์ในวารสารมนุษย์ศาสตร์ ปี 2012 ที่อธิบายความหมายของวรรณกรรมร่วมสมัย (contemporary literature) ไว้ว่า เป็นยุคที่วรรณกรรมไทยเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง โดยได้รับอิทธิพลจากตะวันตก ทั้งด้านรูปแบบ เนื้อหา กลวิธีการเขียน รวมไปถึงสภาพสังคม นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา
สาเหตุที่ทำให้ช่วงเวลานั้นถือเป็นจุดเริ่มต้นของวรรณกรรมร่วมสมัย เราอาจต้องเข้าใจบริบทโลกในยุคนั้นเล็กน้อย ช่วงขณะนั้นโลกเพิ่งผ่านพ้นสงครามครั้งใหญ่ อย่างสงครามโลกครั้งที่ 2 สงครามเย็น กระแสหลังการล่าอาณานิคม รวมถึงการเติบโตขึ้นของวัฒนธรรมบริโภคนิยม จากโรงงานที่ผู้ผลิตสามารถผลิตสินค้าจำนวนมากเพื่อให้เข้าถึงผู้คนกลุ่มใหญ่ๆ
ความขัดแย้งเหล่านี้ทำให้ผู้คนเริ่มมองว่าโลกกำลังไร้ระเบียบ และเริ่มลดทอนความเป็นมนุษย์ลงทีละน้อย จึงเกิดแนวคิดใหม่เพื่อต่อต้านแนวคิดแบบเดิม เรียกว่า Postmodernism หรือลัทธิช่วงหลังสมัยใหม่ แตกแขนงออกมาจากช่วงโมเดิร์น (modern) หรือยุคสมัยใหม่ ซึ่งเกิดจากการตั้งคำถามและไม่ไว้ใจต่อระบบเดิม ทั้งทัศนคติการเมือง หรือการเปลี่ยนแปลงของสังคม จึงทำให้ผู้คนเริ่มมองหาวิธีการใหม่ๆ เพื่อโอบรับความยุ่งเหยิง และความวุ่นวายอันไร้ระเบียบของโลกขณะนั้นแทน

แม้ช่วงหลังสมัยใหม่จะเกิดขึ้นเพื่อท้าทายระบบเดิม แต่แนวคิดนี้ก็มีอิทธิพลต่อความคิดของคนในยุคนั้นไม่น้อย สะท้อนออกมาในงานศิลปะประเภทต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่งานเขียน ทำให้เราได้เห็นการเขียนแนวใหม่ๆ เริ่มมีความหลากหลายของสไตล์ ธีม และเทคนิคมากขึ้น และเริ่มก่อร่างเป็นงานเขียนร่วมสมัยในปัจจุบัน
จุดเด่นของงานเขียนร่วมสมัยจึงมักเป็นการสะท้อนความจริงที่จับต้องได้มากกว่า ซึ่งเปิดโอกาสให้นักเขียนได้สำรวจความซับซ้อนของมนุษย์ และให้คนอ่านตั้งคำถามกับความจริงตรงหน้า เมื่อโลกอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราเข้าใจ ทั้งระบบอำนาจและเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า จนทำให้เกิดความแปลกแยก วิตกกังวล หวาดระแวง นอกจากนี้ยังนำเสนอความไร้ความหมาย และตั้งคำถามต่อการมีอยู่ของมนุษย์ไปด้วย
เราอาจเห็นธีมหลักที่พบเจอบ่อยๆ เช่น อัตลักษณ์และการค้นพบตนเอง การต่อสู้ต่อความเหลื่อมล้ำในสังคม ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน เทคโนโลยี สุขภาพจิต ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นประเด็นอันซับซ้อนในโลกสมัยใหม่ ที่นักเขียนมักใช้เพื่อชี้ให้เห็นถึงความลื่นไหลและไม่ตายตัวของโลกใบนี้
จุดเริ่มต้นของวรรณกรรมร่วมสมัยไทย
ฝั่งวรรณกรรมร่วมสมัยของไทยในช่วงโพสต์โมเดิร์น ก็มีการตั้งคำถามต่อระบบที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัยเช่นกัน จากงานวิจัยวงวรรณกรรมไทยในกระแสหลังสมัยใหม่ โดยเสาวณิต จุลวงศ์ อาจารย์คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้อธิบายถึงปัจจัยที่ทำให้เกิดงานเขียนร่วมสมัยของไทยไว้ว่า เกิดขึ้นหลังผ่านยุควรรณกรรมเพื่อชีวิต ซึ่งเป็นแนวสัจนิยมและแนวสังคมนิยมที่ก่อนหน้านี้แพร่หลายอย่างมาก แต่เพราะความขัดแย้งทางการเมืองอย่างเข้มข้นจากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 จึงทำให้นักเขียนต้องหาวิธีใหม่ๆ มาระวังไม่ให้กระทบต่อรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม แม้งานเขียนแนวเพื่อชีวิตก็กลับมาเฟื่องฟูได้อีกครั้ง แต่ก็ต้องถูกตั้งคำถามและถูกวิจารณ์ว่าเป็นงานเขียนน้ำเน่า เพราะเนื้อที่ซ้ำซาก ไร้ความงาม และขาดศิลปะในการเขียน เพราะขาดความจริงใจที่จะนำเสนอเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้ประชาชน จึงทำให้นักเขียนเริ่มหาแนวทางใหม่ในการเขียนอีกครั้ง คราวนี้หันมาสนใจรูปแบบและกลวิธีการเขียนมากขึ้น จนนำมาสู่การเขียนแนวทดลอง ซึ่งต่อมาก็เป็นที่รับรู้กันว่าคือลักษณะของวรรณกรรมหลังสมัยใหม่นั่นเอง
งานเขียนสมัยใหม่ของไทยจึงเน้นไปที่กลวิธีการเล่าเรื่องแปลกใหม่ เช่น การทำให้สำนึกระหว่างผู้แต่งและตัวละครพร่าเลือนไป เพื่อให้คนอ่านรับรู้ว่าเรื่องแต่งไม่ต่างไปจากความเป็นจริง แทรกซึมวัฒนธรรมการบริโภคเข้าไปในงานเขียน ราวกับบังคับให้เราจํายอมรับสภาพที่เกิดขึ้น จนถึงการประกอบสร้างตัวเองในสังคมสมัยใหม่ ที่ต้องอาศัยปัจจัยภายนอกมาเป็นตัวกำหนด ฯลฯ วิธีการเขียนเหล่านี้ต่างส่งผลใหผู้อ่านรู้สึกสะกิดใจ ตามทฤษฎีหลังสมัยใหม่ที่ตั้งข้อสงสัยและตั้งคําถามต่อภาวะสังคมวัฒนธรรม เรื่องเล่า ความรู้ ความเชื่อ และบรรทัดฐานในสังคม

แม้ว่าจุดเริ่มต้นของวรรณกรรมร่วมสมัยของไทยไม่ได้เกิดจากการตั้งคำถามต่อระบบอย่างในโลกตะวันตก หากแต่เกิดจากทางตันในงานเขียน จนต้องมองหาวิธีใหม่ๆ ในการนำเสนอเรื่องราว แต่ถึงอย่างนั้น สิ่งนี้ก็ทำให้นักเขียนได้ตระหนักถึงกรอบที่เคยรัดตรึงตัวเองไว้ จึงได้ผลักดันมาสู่การสำรวจเรื่องแต่ง เรื่องเล่า และวาทกรรมอำนาจของภาษา ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวคิดของช่วงโพสต์โมเดิร์นในที่สุด
ลักษณะร่วมกันของแนวคิดนี้ระหว่างของไทยและโลกตะวันตก จึงเป็นการนำเสนอเรื่องความล้มเหลวของโลกที่พัฒนาไปและทุนนิยม ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงไม่ได้ส่งผลแค่ชาวนา ชาวไร่ หรือคนชนชั้นแรงงานเท่านั้น แต่ยังขยายมาถึงคนชนชั้นกลางในเมืองด้วย นอกจากนี้ยังนำเสนอความหลากหลายของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นคนท้องถิ่น ชุมชน กลุ่มชาติพันธุ์ และกลุ่มเพศอื่นๆ ด้วย
อาจเรียกได้ว่าความไม่ไว้วางใจต่อระบบเดิมหลังสงครามโลก เทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตมากขึ้น ได้สร้างแรงกระเพื่อมต่อคนทั้งโลก ให้หันกลับมาตั้งคำถามต่อสิ่งต่างๆ และตัวตนของตัวเองอีกครั้ง จนกล้าท้าทายการเขียนด้วยวิธีต่างๆ ภายใต้แนวคิดนี้งานเขียน จึงไม่จำเป็นต้องดำเนินเรื่องเป็นเส้นตรง สามารถนำข้อมูลอันหลากหลายมาปะติดเรื่องราวได้อย่างอิสระ เพื่อสำรวจมุมมองอื่นๆ อยู่ตลอดเวลา
ความเป็นไปที่ไม่รู้จบนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้เส้นแบ่งเรื่องลำดับเวลาหรือวิธีการเล่าพร่าเลือนไปเท่านั้น แต่ยังรื้อสร้างหรือตีความตัวบทดั้งเดิมอยู่ตลอดเวลา อย่างที่เรามักเห็นเรื่องราวใหม่ๆ อาจมีการอิงต้นฉบับงานคลาสสิกเข้ามาในงานด้วย ไม่เพียงแต่เป็นพื้นที่เปิดกว้างสำหรับนักเขียนเท่านั้น แต่นักอ่านเองก็ยังได้ประเด็นสังคมใหม่ๆ และช่วยให้เข้าอกเข้าใจคนอื่นในสังคมที่ซับซ้อนเช่นกัน
ท้ายที่สุดคำว่าร่วมสมัยในวรรณกรรม จึงไม่ได้ยึดโยงอยู่เพียงแค่เป็นงานเขียนที่เกิดขึ้นในช่วงใดช่วงหนึ่งเท่านั้น หากแต่เป็นงานเขียนที่ตั้งคำถามต่อสิ่งต่างๆ ในสังคมในห้วงขณะนั้น พร้อมกับการสำรวจผลกระทบเหล่านั้นลึกเข้าไปถึงตัวตนภายใน สิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้ไม่ว่าใครก็สามารถเชื่อมโยงเรื่องราวในงานเขียนนั้นได้ แม้ว่าจะผ่านเวลาไปนานแค่ไหนก็ตาม
วรรณกรรมร่วมสมัยจึงอาจไม่ได้ทำหน้าที่แค่ให้ความสุขสมหวังแก่ผู้อ่าน แต่ยังเป็นกระจกที่สะท้อนชีวิต การต่อสู้ ความหวัง และตัวตน เพื่อให้เราเข้าใจตัวเองและคนอื่น แม้ว่าจะต้องท้าทายความเชื่อเดิมก็ตาม
อ้างอิงจาก