การเป็นไข้ คัดจมูก น้ำมูกไหล ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เสมอไป เพราะนักวิทยาศาสตร์ระบุว่า ไข้หวัดใหญ่ เป็นเชื้อโรคที่มีแนวโน้มจะทำให้เกิดโรคแพร่ระบาดครั้งใหม่
ผลสำรวจระดับนานาชาติพบว่า ผู้เชี่ยวชาญกว่า 57% คิดว่าไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ จะเป็นสาเหตุของการระบาดของโรคติดเชื้อร้ายแรงทั่วโลกครั้งต่อไป
“ในแต่ละฤดูหนาว ไข้หวัดใหญ่ก็จะมา” จอน ซัลมานตัน-การ์เซีย ผู้ทำการศึกษาในเรื่องนี้จากจากมหาวิทยาลัยโคโลญ กล่าว โดยอธิบายว่าไข้หวัดใหญ่ระบาดเล็กน้อยอยู่เสมอ แต่มันก็พัฒนาและกลายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งตรงกับทฤษฎีที่ว่าไข้หวัดใหญ่จะเป็นภัยคุกคามที่ทำให้เกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ที่สุดของโลก
อย่างไรก็ดี นอกจากไข้หวัดใหญ่ ผู้เชี่ยวชาญกว่า 21% ระบุว่ายังมีไวรัสที่เรียกว่า ‘โรคเอ็กซ์’ ซึ่งเป็นชื่อเรียกของไวรัสที่เรายังไม่รู้จักเพียงพอ โดยข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญระบุว่า การแพร่ระบาดครั้งต่อไปจะเกิดจากจุลินทรีย์ที่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าคืออะไรและมาจากไหนก็ไม่รู้ ซึ่งจะเกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน เช่นเดียวกับไวรัสอย่าง Sars-CoV-2 ที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19
ทั้งนี้ ยังมีผู้เชี่ยวชาญกว่า 15% ที่ระบุว่า ไวรัส Sars-Cov-2 ก็ยังเป็นสิ่งที่น่ากังวลอยู่ ว่าอาจทำให้เกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ในการอนาคตอันใกล้ได้
และยังมีผู้เชี่ยวชาญอีก 1-2% ที่เห็นว่า ยังมีไวรัสที่จะกลายเป็นปัญหาที่น่ากังวลในระดับโลก คือ ไวรัสลาสซา (ก่อเกิดโรคไข้เลือดออกโดยเชื้อจากสัตว์ประเภทหนู) ไวรัสนิปาห์ (ก่อให้เกิดโรคไข้สมองอักเสบ) ไวรัสอีโบลา (ก่อให้เกิดโรคติดเชื้อไวรัสชนิดเฉียบพลันรุนแรง) และไวรัส (ก่อให้เกิดซิกา (ก่อให้เกิดโรคติดเชื้อโดยเชื้อจากยุงลาย)
องค์การอนามัยโลก (WHO) ออกมาแสดงความกังวลถึงการแพร่กระจายของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ H5N1 ซึ่งก่อให้เกิดโรคไข้หวัดนกหลายล้านรายทั่วโลกตั้งแต่ปี 2020 และยังแพร่กระจายไปยังสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม วัวบ้าน ในกว่า 12 รัฐของสหรัฐอเมริกา
“หมูติดไข้หวัดนกได้ แต่ไม่นานมานี้ วัวก็มาป่วยด้วย โดยติดเชื้อจากโรคในสายพันธุ์ของตัวเอง การปรากฏของเชื้อ H5N1 ในวัวจึงเป็นเรื่องน่าตกใจ” เอ็ด ฮัทชินสัน นักไวรัสวิทยาจากมหาวิทยาลัยกลาโกว์กล่าว ด้วยเหตุนี้ จึงยิ่งทำให้คนกลัวถึงความเสี่ยงในการติดโรคในมนุษย์ เพราะมันหมายความว่าความเสี่ยงที่ไวรัสจะเข้าสู่สัตว์ในฟาร์มนั้นเพิ่มขึ้น และมีโอกาสแพร่จากสัตว์ในฟาร์มสู่มนุษย์ก็ด้วย
แต่อย่าเพิ่งตกใจไป เพราะปัจจุบันยังไม่มีข้อบ่งชี้ว่า H5N1 แพร่กระจายในมนุษย์อยู่ แต่เจเรมี ฟาร์ราร์ หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของ WHO บอกว่า จากช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ผลกระทบจากการติดเชื้อของมนุษย์จากการสัมผัสกับสัตว์ก็น่ากลัว สะท้อนผ่านอัตราการเสียชีวิตที่สูงเป็นพิเศษ เพราะมนุษย์ไม่มีภูมิคุ้มกันตามะรรมชาติต่อไวรัส
อย่างไรก็ดี นักวิทยาศาสตร์ยังชี้ให้เห็นว่ามีวัคซีนป้องกันที่ถูกพัฒนาขึ้นหลายสายพันธุ์ รวมถึงการป้องกัน H5N1 ด้วยเช่นกัน โดยถ้าหากเกิดการระบาดใหญ่ของไข้หวัดนก ก็จะต้องเผชิญกับความท้าทายด้านลอจิสติกส์ขนาดใหญ่ แต่ก็จะไปได้ไกลมากกว่าในช่วงโควิด-19 ที่ต้องพัฒนาวัคซีนตั้งแต่เริ่มต้น
จึงต้องติดตามถึงข้อสรุปและแนวทางต่อไป โดยข้อมูลเฉพาะจากการสำรวจข้อมูลจากนักวิทยาศาสตร์อาวุโสทั้งหมด 187 คน จะมีการเปิดเผยในการประชุมสมาคมจุลชีววิทยาคลินิกและโรคติดเชื้อแห่งยุโรป (ESCMID) ที่เมืองบาร์เซโลนาในสัปดาห์หน้า
อ้างอิงจาก
แปะรูป
https://www.shutterstock.com/th/image-photo/sick-day-home-asian-woman-has-1199583907
https://www.shutterstock.com/th/image-photo/ill-upset-young-woman-sitting-on-1523330795