เลื่อน TikTok ไถ reel ช่วงนี้ได้ยินเพลงประกอบซีรีส์เกาหลีเพลงหนึ่งบ่อยครั้ง จะบอกว่าตอนนี้มีซีรีส์กำลังดัง ก็ใช่ แต่ไม่คุ้นว่าในเรื่องจะมีเพลงนี้นี่นา เอ๊ะ ไหนลองฟังเนื้อร้องดีๆ อีกสักที ชัดเลย แบบนี้ชัดเลย นี่มันบทสวดมนต์!
ทำนองที่ได้ยินทำเอาเราจินตนาการภาพไปไกลว่าเพลงนี้มันต้องประกอบฉากที่พระเอกนางเอกจูงมือกันริมแม่น้ำฮันในวันที่หิมะแรกโรยปราย โรแมนติกสุดๆ แน่นอน แต่ที่ไหนได้ ฟังเนื้อร้องดีๆ ทำเอาเปลี่ยนจากฉากโรแมนติก กลายเป็นชุดนุ่งขาวห่มขาวขึ้นมาเลย
ใครจะไปคิดว่า ‘นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต…’ ที่ท่องกันมาตั้งแต่เด็ก วันนี้จะมีทำนองที่เปลี่ยนไป และไม่ใช่แค่ทำนองแบบเพลงประกอบซีรีส์เกาหลีเท่านั้น เพราะตอนนี้มีทั้งสไตล์ฮิปฮอป บัลลาด อาร์แอนด์บี โอเปร่า แจ๊ส รีมิกซ์แดนซ์เต็มไปหมด เรียกว่าบทสวดไหนก็เอามาใส่ทำนอง ขยับบีทช้าเร็วตามใจตัวเองได้หมด
ชั่วขณะหนึ่งในตอนที่กำลังฟังบทสวดบูรพารัสมิงแบบรีมิกซ์ เราก็ดันเกิดคำถามขึ้นในใจว่า ถ้าเราสวดมนต์บทเดิม แต่ใส่ทำนองใหม่เข้าไปให้เร้าใจ มันจะบาปไหมนะ?
และทันทีที่เกิดคำถามนี้ขึ้น เราก็รีบติดต่อหา ‘หลวงพี่บิ๊ก’ พระเจ้าของช่องธรรมะ ที่คอยให้ความรู้ และตอบข้อสงสัยของเหล่าญาติโยมในแพลตฟอร์มออนไลน์ ทั้ง YouTube และ TikTok ให้ช่วยคลายข้อสงสัยให้ที ซึ่งหลวงพี่บอกกับเราว่า
“อันที่จริงมันจะบาปหรือไม่บาปนั้น อยู่ที่เจตนาของผู้จัดทำ ถ้าเขาจัดทำออกมาด้วยความศรัทธาเลื่อมใส อยากให้บทสวดไพเราะขึ้น ผู้ฟังจะได้อินและมีความซาบซึ้ง กรณีนี้ไม่เป็นไรครับ”
“แต่ถ้าผู้จัดทำมีเจตนาล้อเลียน นำมาทำเพื่อตลก นำมาทำเพื่อได้คอนเทนต์อย่างเดียว โดยไม่มีจุดประสงค์ที่บอกไว้ข้างต้นเลย มันจะบาปเป็นมโนกรรม คือ ‘คิดโลภ’ อยากเอาบทสวดมาหากินทำคอนเทนต์ เพื่อให้มีคนรู้จักเรามากขึ้น และ ‘คิดหลง’ คือคิดว่าบทสวดเหล่านี้จะเอามาทำอะไรก็ได้ โดยไม่ได้มองถึงศรัทธาและความเสื่อมต่างๆ ที่จะตามมาภายหลัง”
หลวงพี่เปรียบเทียบให้เราเห็นภาพมากขึ้นว่า การสวดมนต์เปรียบเหมือนกับการฟังเพลงสากลที่เราอาจไม่รู้ความหมายของมัน แต่เราสามารถฟังว่ามันเพราะได้จากทำนอง ดนตรี สนุกสนามไปตามฟีลลิ่ง และในสักวันหนึ่งพอเราชอบในท่วงทำนองนั้น ก็จะกระตุ้นให้เราหาความหมายของเนื้อเพลง เช่นเดียวกับบทสวดมนต์ ที่เราอาจจะไม่รู้ความหมายเพราะมันเป็นภาษาบาลี แต่ถ้าเราใส่ท่วงทำนองที่น่าสนใจ และมันสามารถสร้างแรงศรัทธาให้เกิดขึ้นได้ สิ่งนี้ก็จะกลายเป็นประโยชน์ อาจทะให้คนเข้าถึงธรรมะได้มากขึ้นด้วย
แต่นอกจากจะมองถึงเรื่องบาปหรือไม่บาปแล้ว หลวงพี่บิ๊กยังชวนให้เราขบคิด และขยายไปถึงภาพรวมที่มากกว่าแค่คำว่า บาปบุญ แต่มันอาจนำไปสู่ความเสื่อมไปของศาสนาได้
บทสวดมนต์ในทำนองใหม่ๆ ยิ่งถ้ามีความไพเราะ คนที่ชอบความสวยงาม ความไพเราะ ก็จะยิ่งเข้าถึงธรรมได้มากขึ้น ซึ่งสิ่งนี้นับเป็นเรื่องที่ดี แต่หากนำเอาบทสวดมาใส่ทำนองรีมิกซ์ โดยไม่มีองค์ประกอบเรื่องความศรัทธา หรือไม่ได้มีเจตนาเพื่อก่อประโยชน์ทางจิตใจ สิ่งที่ตามมาก็คือความเสื่อมไปของศาสนา
“เพราะคนบางคนจะมองเห็นสิ่งเหล่านี้ เป็นเรื่องไม่จริงจัง เป็นเรื่องเล่นๆไปหมด การที่เราจะค้นหาความหมายของบทสวด หรือธรรมะในบทนั้นๆ ก็จะน้อยลงไปด้วย”
ถ้าเราจะสวดมนต์ด้วยความศรัทธาในทำนองไหนก็ได้แล้ว ทำนองที่เราได้ยินคุ้นหูมาตั้งแต่เด็ก ทำนองที่พระใช้สวดเวลามีงานบุญต่างๆ ที่เราได้ยินนั้นมีที่มาจากไหน? หลวงพี่บิ๊กให้คำตอบว่า
“ทำนองในทุกวันนี้ก็ไม่มีหลักที่มาที่ไปที่ชัดเจน อย่างอินเดียก็ใช้ทำนองอีกแบบ พม่าก็อีกแบบ ไทยก็อีกแบบ จีนก็อีกแบบ”
“ทำนองเหล่านี้มันคือสิ่งที่ครูบาอาจารย์รุ่นก่อนๆ ท่านสวดกัน แล้วมันเกิดแรง เกิดพลัง เกิดศรัทธาในขณะสวด ทั้งผู้สวดและผู้ฟัง เมื่อท่านๆ ทั้งหลายเห็นว่ามันเป็นสิ่งดีงาม ก็สืบต่อกันมาเพราะมันไม่เสียหายแต่อย่างใด”
“ทำนองของใครของมันเองทำได้ ไม่เป็นปัญหา อย่างกรณีที่หลวงพี่ยกตัวอย่างไป แต่ละประเทศก็ใช้ทำนองใครทำนองมัน อยู่ที่กาลเวลา ยุคสมัย และจิตใจของผู้ฟังในยุคนั้น”