จะเป็นอย่างไร ถ้าสมาชิกแก๊งยากูซ่าผันตัวมาเป็นทนายความ? เรื่องราวชีวิตของ โยชิโทโม โมโรฮาชิ ผู้ใช้ชีวิตกว่าสองทศวรรษในเส้นทางอาชญากรรม ก่อนที่จะหันมาสนใจอาชีพนักกฎหมาย
โยชิโทโม เกิดที่เมืองอิวากิ จังหวัดฟุกุชิมะ เป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัวที่ทำธุรกิจบะหมี่ ในช่วงวัยเด็ก เขาถือว่าเป็นนักเรียนดีเด่นคนหนึ่ง โดยโยชิโทโมกล่าวกับ Nippon.com ว่า “ผมไม่ได้พยายามจะอวด แต่ผมเป็นนักเรียนที่ดี ผมเรียนเก่งมาก ผมเคยได้คะแนนดีในชั้นเรียนเสมอ”
อย่างไรก็ตามเมื่อเขาอายุเพียง 14 ปี พ่อของเขาเสียชีวิต ทำให้แม่ของโยชิโทโมต้องเลี้ยงดูลูกคนเดียวในเวลาต่อมา แม้ว่าต่อมา เขาจะสามารถเข้าเรียนในโรงเรียนชั้นนำแห่งหนึ่งของจังหวัด แต่เขาเล่าว่าตัวเองต้องดิ้นรนอย่างหนักหลังจากที่พ่อเสียชีวิต เพราะไม่มีพี่น้องให้พึ่งพา
ทั้งนี้การอยู่คนเดียวกับแม่ ทำให้โยชิโทโมรู้สึกโดดเดี่ยว เขาจึงเริ่มออกไปเที่ยวกลางคืนกับเพื่อนๆ เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ชีวิตตกต่ำลงเรื่อยๆ จนเขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ผ่าน และต้องย้ายไปโตเกียว เพื่อเข้าเรียนในโรงเรียนกวดวิชาที่เน้นการสอบเข้ามหาวิทยาลัย เพราะแม่ของเขาหวังว่า โยชิโทโมจะได้ปริญญาและเส้นทางเริ่มต้นอาชีพ
ณ จุดนั้นเอง ที่ทำให้โยชิโทโมเริ่มรู้จักสารเสพติด เขาเล่าว่าในสมัยนั้น กัญชาและยาเสพติดชนิดอื่นๆ เป็นที่นิยมในหมู่คนหนุ่มสาวอย่างมาก ซึ่งเพื่อนๆ ของเขาก็ชักชวนให้ลอง จนโยชิโทโมก็ยอมตามแรงกดดัน
ในไม่ช้า เขาก็หมดความสนใจในการเรียนและเริ่มคบค้าสมาคมกับสมาชิกยากูซ่า ซึ่งแม้ว่าสองปีต่อมา โยชิโทโมจะเข้ามหาวิทยาลัยเซเคอิได้ แต่เขากลับใช้เวลาทั้งวันอยู่ในร้านไพ่นกกระจอก และออกไปเที่ยวกับสมาชิกในแก๊ง จนโยชิโทโมต้องออกจากมหาวิทยาลัย
“ผมเคยใช้ชีวิตแบบนั้นมาโดยตลอด […] นั่นก็คือยาเสพติดและพฤติกรรมต่อต้านสังคม” โยชิโทโมบอกกับ The Guardian ว่า ด้วยความรู้เรื่องยาเสพติดและรูปร่างที่สมส่วน ทำให้เขากลายเป็นสมาชิกใหม่ของ Inagawa-kai ซึ่งเป็นกลุ่มยากูซ่าที่ใหญ่เป็นอันดับสามของญี่ปุ่น โดยเขาถูกจ้างให้เป็นคนค้ายาและทวงหนี้
“ยากูซ่ากลายมาเป็นครอบครัวของผม ผมสูญเสียพ่อไป และในที่สุดผมก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว พวกเขายอมรับผม ผมรู้ว่าพวกเขาทำเรื่องเลวร้ายกับคนอื่น แต่ผมแสร้งทำเป็นว่ามันไม่เกี่ยวกับผม” โยชิโทโมเล่า
อย่างไรก็ตาม หลายปีถัดมาอาการติดยาของเขายิ่งแย่ลง จนเกิดอาการคลุ้มคลั่งในที่สาธารณะ ทำให้เขาถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลจิตเวช เป็นเวลา 6 เดือนและถูกไล่ออกจากแก๊ง และหลังจากได้รับการปล่อยตัวจากโรงพยาบาล โยชิโทโมก็ถูกจับกุมในข้อหาเกี่ยวกับยาเสพติด โดยถูกตัดสินจำคุก 18 เดือนโดยรอลงอาญาเป็นเวลา 3 ปี
แต่จุดตกต่ำครั้งใหม่นี้ ก็ได้เปลี่ยนโชคชะตาของโยชิโทโมไปอีกครั้ง ขณะที่เขาถูกจำคุก แม่ยังคงนึกถึงเขาและส่งหนังสือเล่มหนึ่งให้เขา หนังสือเล่มนั้นคือ Dakara, anata mo ikinuite (ชื่อฉบับแปลภาษาไทยว่า พลิกชีวิต คุณก็ทำได้) เป็นอัตชีวประวัติของมิตสึโย โอฮิระ (Mitsuyo Ōhira) ภรรยายากูซ่า ผู้กลายมาเป็นทนายความที่น่านับถือ
หนังสือเล่มนี้เองที่เป็นหนึ่งในแรงบันดาลให้ในช่วง 7 ปีต่อมา โยชิโทโมอ่านหนังสืออย่างหนักหน่วง เพื่อขอใบรับรองนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ จากนั้นเขาก็สอบเป็นเสมียนศาลได้ แล้วจึงย้ายไปโอซาก้า เพื่อเข้าเรียนคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยคันไซ และในที่สุดเขาก็สามารถสอบเนติบัณฑิตผ่านในปี 2013 ซึ่งในปีนั้นมีอัตราการสอบผ่านที่ 45%
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลา 7 ปีนี้ การเตรียมสอบและอ่านหนังสือของเขาก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะผลข้างเคียงจากการติดยามาเป็นเวลานาน ทำให้เขาไม่สามารถจดจ่อกับอะไรได้นานๆ แต่เขาก็พยายามตั้งเป้าหมายการเพิ่มสมาธิให้กับตัวเอง โดยกำหนดให้ตัวเองอ่านหนังสือเป็นเวลา 30 นาที จากนั้นก็ไปเดินเล่นอีก 30 นาที ด้วยวิธีนี้ โยชิโทโมจึงสามารถอ่านหนังสือได้อย่างต่อเนื่อง
หลังจากสอบผ่าน แม้เขาจะไม่ได้พูดถึงภูมิหลังชีวิตตัวเอง ให้เพื่อนที่โรงเรียนกฎหมายหรือที่สำนักงานกฎหมายฟัง แต่ในที่สุด เมื่อปี 2022 โยชิโทโมก็เปิดเผยอดีตของเขาในการสัมภาษณ์ทาง YouTube เพราะเชื่อมั่นว่า เรื่องราวของตัวเองจะช่วยเหลือคนอื่นๆ ที่ชีวิตพลิกผันเพียงเพราะการเป็นสมาชิกยากูซ่า
“บางครั้งผมเห็นรอยสักของตัวเองในห้องน้ำ และแทบไม่เชื่อว่าตัวเองเคยเป็นอะไรมาก่อน” เขาในวัย 48 ปีกล่าวว่า ตัวตนของเขาในฐานะอดีตยากูซ่าเริ่มอ่อนแอลง
ในวันนี้เขาเปิดสำนักงานกฎหมายเป็นของตัวเองมา 2 ปีแล้ว และออกหนังสืออัตชีวประวัติชื่อ Motoyakuza bengōshi (อดีตทนายความยากูซ่า) อีกทั้งยังแต่งงานและมีลูกสาวตัวน้อย โดยปัจจุบันเขาได้กลับไปสานสัมพันธ์ที่ขาดไป กับแม่ของตัวเองใหม่ พร้อมระบุว่า “นั่นคือสิ่งที่ผมภูมิใจที่สุด […] ในที่สุดผมก็ทำให้แม่ของผมมีความสุขได้เสียที”
อย่างไรก็ตาม ในอีกด้านโยชิโทโมก็ต้องเผชิญกับกระแสต่อต้านบนโซเชียลมีเดีย เกี่ยวกับขับเคลื่อนให้อดีตยากูซ่ากลับสู่สังคมปกติ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจพร้อมกล่าวว่า “นั่นคือส่วนที่สำคัญที่สุดของงานที่ผมทำในฐานะทนายความ นั่นคือการทำให้ผู้คนเชื่อว่า พวกเขาสามารถทำสิ่งที่ถูกต้องได้ ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไรลงไปก็ตาม การให้ความหวังแก่ผู้คนคือสิ่งที่ทำให้ผมก้าวต่อไปได้”
อ้างอิงจาก