ย้อนไปในปี 2015 นับเป็นช่วงเวลาสำคัญของการอพยพในยุโรป โดย Eurostat รายงานว่าในปีนั้น มีผู้คนอพยพใน 28 ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (European Union หรือ EU) รวม 4.7 ล้านคน–ในจำนวนนี้ มีราว 2.4 ล้านคน (50%) ที่เป็นพลเมืองของประเทศ ‘นอกสหภาพยุโรป’
ในปีนั้นเยอรมนีรายงานจำนวนผู้อพยพสูงสุดที่ราว 1,544,000 คน (33% ของจำนวนผู้อพยพทั้งหมดใน EU) รองลงมาคือสหราชอาณาจักร (631,000 คน หรือ 14%) ฝรั่งเศส (364,000 คน หรือ 8%) สเปน (342,000 คน หรือ 7%) และอิตาลี (280,000 คน หรือ 6%)
ผ่านมาแล้วกว่า 10 ปี ผู้อพยพจำนวนมหาศาลได้สร้างความท้าทายต่อประเทศในยุโรปหลายๆ ด้าน ซึ่งเหล่าประเทศสมาชิกก็ต่างพยายามปรับตัวในวิธีต่างๆ ทั้งตรวจคนเข้าเมืองอย่างเข้มงวด ทั้งเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ตระเวนชายแดน จนถึงกำหนดนโยบายต่างประเทศอื่นๆ เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้
ส่วนในมุมประชาชน คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘กระแสการต่อต้านผู้อพยพ’ ได้กลายเป็นประเด็นสำคัญในช่วงที่ผ่านมา จนเกิดเป็นเหตุการณ์รุนแรงจากความเกลียดชังหลายหน–ทั้งการรวมตัวประท้วงต่อต้านในหลายประเทศ ทั้งความรุนแรงรูปแบบอื่นๆ ที่พบได้ในชีวิตประจำวันของคนในยุโรป
สิ่งเหล่านี้อาจทำให้หลายคนสงสัยว่า ทำไมกระแสการต่อต้านผู้อพยพในยุโรปจึงรุนแรงขึ้น? อะไรคือปัจจัยเบื้องหลังความคับข้องใจของคนจำนวนมาก? แล้วต่อจากนี้สถานการณ์ในประเทศต่างๆ จะเป็นอย่างไร? The MATTER ชวนทุกคนหาคำตอบไปพร้อมๆ กัน
ความกังวลทางเศรษฐกิจ–เงินเฟ้อ การเติบโตต่ำ ค่าครองชีพสูง
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า การแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้ทำให้เศรษฐกิจสั่นคลอนไปทั่วโลก ตั้งแต่อัตราว่างงาน ตลาดผันผวน ถึงเงินเฟ้อรุนแรง จนคนจำนวนมากต้องรับแรงกดดันทางการเงิน อย่างที่ไม่เคยพบมาก่อน
ยกตัวอย่างในสหราชอาณาจักร–หนึ่งในประเทศที่ต้องเผชิญปัญหาหนักที่สุด โดยในปี 2023 ราคาสินค้าในสหราชอาณาจักรพุ่งสูงขึ้น เร็วกว่าประเทศเศรษฐกิจก้าวหน้าอื่นๆ ที่ 7.2% ขณะที่ธนาคารกลางอังกฤษพยายามปรับอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยก็ปรับตัวสูงขึ้นตามไป ทำให้คนในประเทศต้องรับภาระรายจ่ายเพิ่มขึ้นอย่างมาก
“นับตั้งแต่เกิดการระบาดใหญ่ อัตราการว่างงานอยู่ในระดับต่ำอย่างน่าตกใจ ดังนั้นแรงกดดันทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่ จึงมาจากรายได้ที่ไม่สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อ” เคอร์รี แพปส์ (Kerry Papps) อาจารย์เศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแบรดฟอร์ด กล่าวถึงปัญหาทางเศรษฐกิจในสหราชอาณาจักร
ไม่เพียงแต่ในสหราชอาณาจักร แต่ที่ผ่านมาประเทศอื่นๆ ในยุโรปก็ประสบภาวะเศรษฐกิจอ่อนแอไปตามๆ กัน โดยในสหราชอาณาจักร อัตราการว่างงานของเยาวชนอยู่ที่ราว 14% ส่วนสเปนพบที่ 24% อีกทั้งสองประเทศนี้ ก็กำลังประสบกับวิกฤตที่อยู่อาศัยครั้งใหญ่เช่นกัน
ปัญหาทางเศรษฐกิจเหล่านี้ต่างขับเคลื่อนคลื่นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในยุโรป
วาทกรรมจากความเกลียดชัง
ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 เราอาจเห็นการกลับมาของการชุมนุมประท้วงขนาดใหญ่ในยุโรป ซึ่งบ่อยครั้งก็ใช้ความรุนแรงผ่านคำพูดซึ่งแสดงความเกลียดชังและความกลัวต่อชาวต่างชาติ ที่ได้กลายเป็นเรื่องปกติมากขึ้นเรื่อยๆ
เจ็มมา ปีนยอล ฮีเมเนซ (Gemma Pinyol Jiménez) อาจารย์รัฐศาสตร์และสังคมวิทยาจากมหาวิทยาลัยอิสระแห่งบาร์เซโลนา ชี้ว่า “ความวิตกกังวลทางเศรษฐกิจ ความไม่เท่าเทียม จนถึงความแตกแยกในสังคม” คือสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้วาทกรรมที่อิงอัตลักษณ์ (Identity-based rhetoric) ก่อตัวขึ้นในสังคม
แม้จะไม่ใช่สาเหตุเดียว ที่ทำให้ความเกลียดชังชาวต่างชาติกลับมาอีกครั้ง แต่วาทกรรมเหล่านี้กลับ “ส่งเสริมความกลัว สนับสนุนการกีดกัน และให้ความชอบธรรมแก่การใช้ความรุนแรง” จนทำให้ผู้อพยพกลายเป็นแพะรับบาป และกลายเป็น “อันตรายมากกว่าที่จะเป็นมนุษย์”
ด้านเซเนีย เฮลล์เกรน (Zenia Hellgren) นักสังคมวิทยาจากมหาวิทยาลัยรัฐบาลในบาร์เซโลนาระบุว่า “ราคาที่อยู่อาศัยที่สูง การว่างงาน หรือสภาพการทำงานที่ไม่มั่นคง” เป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นการ “โทษผู้อพยพว่าเป็นสาเหตุของปัญหาทั้งหมดในสังคม”
กระแสกลุ่มขวาจัดในยุโรป
ผลการเลือกตั้งของประเทศต่างๆ ในสหภาพยุโรปในช่วงที่ผ่านมา ได้แสดงให้เห็นว่า ทิศทางทางการเมืองของยุโรปกำลังเคลื่อนไปทางขวา ตั้งแต่อิตาลี ฟินแลนด์ สโลวาเกีย ฮังการี โครเอเชีย และสาธารณรัฐเช็ก ที่พรรคการเมืองฝ่ายขวาก็ต่างคว้าชัยชนะจากเลือกตั้งและขึ้นสู่อำนาจ ขณะที่พรรคการเมืองฝ่ายซ้ายพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง
‘นโยบายด้านผู้อพยพ’ อาจเป็นหนึ่งในคำอธิบายสำคัญ ของความสำเร็จของพรรคการเมืองฝ่ายขวาจัดในยุโรป โดย Human Rights Monitoring Institute (HRMI) ชี้ว่าที่ผ่านมาพลเมืองยุโรปต้องเผชิญกับความกังวลในหลายๆ ด้าน
“สงครามในยูเครนและฉนวนกาซา วิกฤตเศรษฐกิจ และปัจจัยอื่นๆ ล้วนมีส่วนสำคัญต่อความรู้สึกกังวลใจในยุโรป” HRMI ระบุว่าในช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนเช่นนี้ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งก็ต่างมองหาอิทธิพลการเมือง ที่สามารถมอบความมั่นคงปลอดภัยสูงสุด “และพรรคฝ่ายขวาจัดกำลังฉวยโอกาสนี้เพื่อประโยชน์ของตนเอง”
‘วิกฤตผู้อพยพ’ ก็เป็นประเด็นสำคัญที่ประชาชนกังวล ซึ่งหลังจากที่ยุโรปได้ต้อนรับผู้ลี้ภัยหลายล้านคนในปี 2015 นั้น ชาวยุโรปก็เชื่อว่า ประเทศของตัวเองกำลังเพิ่มจำนวนผู้ก่อการร้ายและปัญหาการว่างงานตามไปด้วย สิ่งที่ตามมาคือ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งหลายคนจึงเชื่อว่า ‘พรรคการเมืองขวาจัด’ จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการปกป้องตนเองจาก ‘ภัยคุกคาม’ ดังกล่าว
ส่วนหนึ่งเนื่องจากพรรคการเมืองเหล่านี้ ส่งเสริมค่านิยมดั้งเดิม (traditional values) และผลประโยชน์แห่งชาติ (national interests) ทำให้การต่อต้านผู้อพยพกลายเป็นหนึ่งในนโยบายไม่กี่ด้าน ที่พรรคขวาจัดต่างๆ ต่างเห็นพ้องต้องกันและสนับสนุนอย่างเป็นเอกฉันท์
HRMI ระบุว่า พรรคฝ่ายขวาจัดได้ใช้ประโยชน์จากความกังวลของประชาชน เกี่ยวกับระบบสาธารณสุข ที่อยู่อาศัยราคาสูง และตลาดแรงงานผันผวน โดยมองว่าผู้อพยพเป็นศัตรูร่วมกัน ซึ่งเราอาจเห็นว่า วาทกรรมเหล่านี้ได้รับการเน้นย้ำเป็นพิเศษในปี 2015 ที่จำนวนผู้อพยพเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
สถานการณ์ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร?
แม้การผงาดขึ้นของพรรคการเมืองขวาจัดในยุโรป จะเป็นเหตุการณ์สำคัญที่เผยให้เห็นถึงความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม แต่คำถามที่ไม่อาจมองข้ามได้คือ การต่อต้านผู้อพยพจะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้จริงหรือไม่?
“การโยกย้ายถิ่นฐานเป็นปัญหาใหญ่ขนาดนั้น หรือเป็นเพียงแพะรับบาปที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้มีผู้รับผิดชอบ โดยไม่คำนึงถึงนโยบายในประเทศที่ดำเนินการได้ไม่ดีพอ”
“การมีจุดยืนต่อต้านผู้อพยพและการยึดถือลัทธิชาตินิยมนั้น ไม่เกิดผลดีและเป็นอันตราย” คือคำถามที่ HRMI มีต่อวาทกรรมและความรุนแรงจากความเกลียดชังต่อผู้อพยพ
อ้างอิงจาก